เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

“ประยุทธ์” มั่นใจ ชี้สิ้นปีมีวัคซีน 130 ล้านโดส ปรับแผนควบคุมโรคแนวใหม่ “มาตรการ 10 ข้อ”

ล่าสุด พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงประชาชนชาวไทย เกี่ยวกับการประเมินสถานการณ์โควิดหลังล็อกดาวน์ ซึ่งมีรายงานว่าผู้ติดเชื้อเริ่มมีแนวโน้มลดลงสามารถปรับมาตรการควบคุมโรค เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงช่วงก่อนหน้านี้ได้ ตามที่ได้มีการประกาศผ่อนคลายล็อกดาวน์ไปแล้วเมื่อวานนี้ ซึ่งทาง ศบค. ได้เห็นชอบกับแผนการ ‘Smart Control and Living with COVID-19’ หรือการควบคุมโรคแนวใหม่ที่สมดุลกับการดำเนินชีวิตที่ปลอดภัยจากโควิด โดยมีมาตรการ 10 ข้อ ดังนี้
1. การยกระดับมาตรการ DMHT (อยู่ห่าง-ใส่มาสก์-ล้างมือ-วัดอุณหภูมิ) เป็นมาตรการ Universal Prevention (การป้องกันแบบครอบจักรวาล) นั่นคือการระมัดระวังตัวเองอย่างสูงสุด โดยคิดเสมือนว่าทุกคนที่พบปะนั้นมีโอกาสเป็นผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น
2. การจัดหาวัคซีนและฉีดให้ได้มากและเร็วที่สุด โดยเฉพาะกับกลุ่มเสี่ยง โดยรัฐบาลได้ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้วัคซีนมามากและเร็วที่สุด และถึงวันนี้เรามั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้ รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนที่ฉีดให้ประชาชนได้อย่างน้อย 120 ล้านโดส เพิ่มจากเป้าหมายเดิม 100 ล้านโดส เมื่อรวมกับวัคซีนทางเลือกของเอกชน เราจะมีวัคซีนรวมอย่างน้อย 130 ล้านโดส ฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้กว่า 65 ล้านคน
3. การจัดหาชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง (Antigen Test Kit : ATK) ให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายและราคาถูก ซึ่งทาง สปสช. ได้สั่งซื้อหาและจะแจกจ่ายให้ประชาชนจำนวน 8.5 ล้านชุด โดยเร็วที่สุด และจะจัดหามาเพิ่มอีกในอนาคต และดำเนินการให้มีชุดตรวจราคาถูกที่ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและราคาถูกยิ่งขึ้น
4. การจัดทำมาตรการ Bubble & Seal กับโรงงาน สถานประกอบการ และแคมป์ก่อสร้าง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นให้อยู่ในวงจำกัดที่สุด และดูแลจัดการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การตรวจคัดกรอง การแยกกัก และการรักษาผู้ป่วย ที่จะทำให้เราไม่ต้องปิดทั้งโรงงาน และสามารถดำเนินการผลิตในบางส่วนของโรงงานหรือการก่อสร้างไปได้โดยไม่สะดุด
5. การจัดการสภาพแวดล้อมและการคัดกรองการตรวจด้วยชุดตรวจ ATK ในสถานที่เสี่ยง คือ ตลาดและชุมชนแออัด ที่เป็นแหล่งแพร่ระบาดและเกิดคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก โดยจะต้องมีการจัดสภาพแวดล้อมตามมาตรการอย่างเข้มงวดและมีการตรวจคัดกรองเป็นประจำเพื่อหยุดการระบาดตั้งแต่ต้น
6. การจัดสภาพแวดล้อมของกิจการที่มีความเสี่ยงเป็นแบบปราศจากโควิด (COVID-Free Setting) เพื่อให้สามารถเปิดดำเนินกิจการได้ ซึ่งมี 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ 1. COVID-Free Environment (สภาพแวดล้อมปราศจากโควิด) เช่น ระบบระบายอากาศ การจัดสถานที่ให้ไม่แออัด 2. COVID-Free Personnel (พนักงานปราศจากโควิด) เช่น การฉีดวัคซีนและตรวจ ATK และ 3. COVID-Free Customer (ลูกค้าปราศจากโควิด) เช่น การแสดงผลฉีดวัคซีนหรือการตรวจ ATK
7. การจัดสภาพการทำงานและการเดินทางที่ปลอดภัย ไม่แออัด คัดกรองโรคด้วยชุดตรวจ ATK สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ พนักงานจำนวนมาก ทำให้ไม่เกิดการระบาดติดเชื้อต่อไปยังครอบครัวที่บ้าน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงและเด็กที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
8. การจัดกิจกรรม สถานที่ และบริการสาธารณะต่าง ๆ ภายใต้มาตรการ 3C คือการไม่จัดให้เกิดพื้นที่เสี่ยง 3 ประการ คือ ‘แออัด-ใกล้ชิด-ปิดอับ’ (Crowded Places Close-Contact Setting, Confined & Enclosed Spaces)
9. การจัดการบริการควบคุมโรคเชิงรุก เข้าถึงกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเปราะบางในพื้นที่และชุมชนระบาดด้วยหน่วยเคลื่อนที่ CCRT (Comprehensive COVID-19 Response Team) ทั้งการตรวจคัดกรอง การนำผู้ป่วยออกมารักษา การฉีดวัคซีน โดยเฉพาะกับผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้ที่ไม่สามารถขอรับความช่วยเหลือได้ด้วยตนเอง
10. ตรวจคัดกรองเชิงรุกให้รวดเร็ว รู้ผลให้เร็ว แยกกักผู้ป่วยและผู้มีความเสี่ยงเร็ว และรักษาผู้ป่วยได้เร็ว ด้วยชุดตรวจ ATK และระบบแยกกักที่บ้านและที่ชุมชน Home Isolation & Community Isolation สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรง ที่ช่วยบรรเทาภาระของการครองเตียงและการต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้มีอาการหนักหรือปานกลางสามารถเข้ารับการรักษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและมีโอกาสรักษาหายดีมากยิ่งขึ้น
นโยบาย Smart Control and Living with COVID-19 ทั้ง 10 ข้อ มีที่ดำเนินการไปบ้างแล้ว และส่วนเพิ่มเติมจะเริ่มในวันที่ 1 กันยายนนี้

ข่าวเพิ่มเติม