เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

มีเหตุการณ์ของหญิงรายหนึ่งที่โกนหัว นุ่งขาวห่มขาว อ้างตัวว่าเป็นแม่ชี พระอรหันต์ เสกคาถา และสามารถมีญาณพิเศษติดต่อกับเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายศาสนาได้ โดยหญิงรายนี้ในอดีตปี 55 นุ่งขาวห่มขาว โกนหัวเป็นแม่ชีอ้างอวดอุตริสามารถสื่อสารกับเทพและดูดวงแม่นยำ มีลูกศิษย์เชื่อและศรัทธามาก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เตรียมฝากขัง แก๊งแม่ชีลวงโลก หลอกลวงต้มตุ๋นเหยื่อกว่า 400 ราย เสียหายกว่า 10 ล้านบาท

ภาพสะเทือนใจ แม่ชี คุกเข่าต่อหน้าตำรวจพม่า ขอให้พวกเขาอย่ายิงผู้ประท้วง

ต่อมาปี 64 พบว่า แม่ชีคนนี้ ได้มาอยู่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งในตำบลหนองญาติ จ.นครพนม และมีลูกกศิษย์เลื่อมใส ศรัทธา อ้างตัวว่าเป็นพระอรหันต์ เสกเงินได้ ช่วยคนได้ ดูดวงแม่น ใบ้หวยถูก คนเลื่อมใสมาก และก็เริ่มปฏิบัติการชวนคนที่เลื่อมใส ลงทุนซื้อกองบุญ ในราคากองละ 3,555 บาท ได้ผลตอบแทนเป็นทอง 1 สลึง หรือเงิน 6000 บาท ยิ่งซื้อเยอะ ยิ่งได้เยอะ

ช่วงแรกๆ ก็ได้เงินตอบแทนตรงเวลา ภายใน 3-5 วันได้เงินตอบแทนแล้ว ทองที่ได้ก็คือทองจริง แต่ระยะหลัง เริ่มไม่ได้และผลัดผ่อนการจ่ายมาหลายรอบ จนลูกศิษย์นำหลักฐานไปแจ้งความดำเนินคดี

ตร.พร้อมฝ่ายปกครองไปขอศาลออกหมายจับแม่ชีคนนี้ ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน เข้าค้นกุฏิแม่ชีห่มแดง นำโดยพันตำรวจเอกจตุรงค์ มหิทธิโชติ ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม

เจ้าหน้าที่แบ่งกำลังเข้าตรวจค้นโดยรอบสถานปฏิบัติวิปัสสนาฯ เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ เข้าตรวจกุฏิ อจินไตร (อะ-จิน-ไต) ห้องประธรรมสมเด็จองค์ปฐม ที่นางสาวอริสรีย์ หรือ แม่ชีห่มแดง พักอาศัยอยู่ ทันทีที่ตำรวจบุกเข้าไปใน กุฏิพบ แม่ชีห่มแดง ก็ได้บอกกับตำรวจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด พร้อมบอกว่าอาตมาอยู่คนเดียวที่นี่ และอาตมา คือ พระอรหันต์อภิญญาปฏิสัมภิทาญาณ ที่ออกจากป่า ที่ล่องหน หายตัวได้

จากนั้นพันตำรวจเอกจาตุรงค์ ได้อ่านหมายค้นให้กับแม่ชีห่มแดงฟัง พร้อมให้เซ็นรับทราบหมาย ก่อนที่ตำรวจหญิงจะแสดงหมายจับในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และเข้าควบคุมตัว พร้อมกับนำตรวจค้นภายในกุฏิ และบริเวณโดยรอบ

ซึ่งก็พบว่า ภายในกุฏิ มีพานใส่ก้อนหินวางเรียงกันไว้ พร้อมกับมีผ้ายันต์ ซึ่งเป็นยันต์มหาลาภ แคล้วคลาด จำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบเครื่องรางค์ อย่างตะกรุด ก้อนหิน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการทำกองบุญขึ้นมา เพื่อไปหลอกลวงประชาชน

ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นหาหลักฐานภายในกุฐิ แม่ชีห่มแดง ก็บอกว่า ตัวเองเป็นพระอรหันต์ ไม่มีสมณะเพศ และไม่มีรูป ไม่มีนาม ไม่บัตรประชาชน ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลือธุรกรรมทางการเงิน ไม่เหลือเอกสารใดๆ แปลว่าเป็นพระอรหันต์จัดๆ เหมือนกับ พระบรมครูเทพโลกอุดร พระอุปครุฑเถระ และพระวิปุระมหาเถระ

จากนั้นตำรวจได้เชิญตัวแม่ชีห่มแดงมาสอบปากคำ แม่ชีบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เครื่องแต่งกาย ที่สวมใส่เครื่องแต่งกายแบบนี้ เป็นเพราะมหาเถระโลกอุดร ขอเชิญให้ใส่ และระหว่างพูดคุยกับผู้สื่อข่าวอยู่ในขณะนี้ คือ พระอรหันต์อภิญญาปฏิสัมภิทาญาณพิเศษ ตัวเองไม่ใช่พระอรหันต์ธรรมดา และตั้งใจสอนอริยะสัจ 4 แบบดุเดือด

โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ดุเดือดอย่างไร ตอบว่า “ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาเหรอ ไม่อย่างนั้นตำรวจจะเชิญเข้าคุกเหรอ ถามมาได้ โง่”

ส่วนเจตนาของการตั้งกองบุญ หรือ กองผ้าป่าทองคำ แม่ชีห่มแดง บอกว่า ตั้งใจจะแจก เพราะหยั่งรู้ล่วงหน้าแล้วว่ามนุษย์จะยากจน เปรียบเสมือนเป็นการมาดับทุกข์ให้กับชาวบ้าน เงินที่มาแจก ก็เสกมา

นอกจากนี้ด้วยความพิเศษของแม่ชี ยังบอกด้วยว่าสามารถรักษาโควิด19 ได้ เพราะโควิดไม่ใช่โรคแต่เป็นวิญญาณ ซึ่งตัวเองมีวิธีในการรักษา โดยเปรียบเทียบกับสมัยพุทธกาล ที่เกิดการระบาดของโรคห่า

พอถึงประโยคนี้ยังไม่ทันจะพูดจบ ตร.ก็เชิญตัวไปสอบปากคำ โดยนักข่าวก็บอก ไม่ทันแล้ว ท่าน ไม่ทันแล้ว พอผู้สื่อข่าวถามว่าเงินทั้งหมดตอนนี้อยู่ไหนเจ้าตัวก็บอกว่าไม่มี และจากการตรวจสอบบัญชีพบว่ามีอยู่ 8 บาทเท่านั้น

ทีมข่าวได้สอบถามหนึ่งในเหยื่อแม่ชีห่มแดง นายโต้และครอบครัว ร่วมลงทุนกับแม่ชีห่มแดงประมาณ 5 แสนบาท นายโต้บอกว่า ยอมรับว่าโลภ และโง่ ที่หลงเชื่อ แต่เชื่อเพราะเพื่อนสนิทของญาติ เข้ามาแนะนำ เริ่มจากลงทุนหลักหมื่นไปก่อน แต่พอได้ผลตอบแทนดี ก็ลงทุนเยอะขึ้น และยังมีโปรโมชั่นร่วมลงทุนอีกหลายรูปแบบในกองบุญนี้ แต่พอเข้าเดือนเมษายน ก็พบว่า การจ่ายค่าตอบแทนไม่ตรง และบ่ายเบี่ยงมาตลอด และมาพบว่า คนที่ร่วมลงทุนอีกหลายคนก็โดนเหมือนกัน จึงทวงถามไปยังคนที่ซื้อกองบุญให้ เขาตอบว่า อย่าสงสัย/ อย่าถาม / ระวังบาป/อย่ามาประมาทพระอรหันต์ ระวังจะมีอันเป็นไป

ตอนนี้ก็อยากขอเตือนสังคม อย่าไปหลงเชื่อกลุ่มคนเหล่านี้ ที่แอบอ้างเอาความเชื่อทางศาสนา ความศรัทธา มาหลอกลวงประชาชน จากนี้ก็จะขอดำเนินคดีตามกฎหมาย และเมีความหวังว่าจะได้เงินคืน

ขณะที่จากแนวทางการสอบสวน จนถึงขณะนี้ ยืนยันว่า แม่ชีห่มแดง เป็นตัวการใหญ่ หรือ หัวหน้าขบวนการ แต่หลังจากนี้จะมีการสอบสวนขยายผล โดยเฉพาะเส้นทางทางการเงิน ว่า มีความเชื่อมโยงถึงบุคคลใดบ้าง