เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

วันที่ 28 เมษายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.กุตาไก้ อ.ปลาปาก จ.นครพนม

เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ นางสาวอิสรีย์ อินทร์ไชยา หรือแม่ชีอู๋ อายุ 49 ปี ที่อ้างว่าเป็นพระยาธรรมมิกราช (แปลว่า ธรรมที่เป็นใหญ่กว่าธรรมทั้งหลาย หรือราชาแห่งธรรมทั้งปวง)  เจ้าสำนักสถานปฏิบัติธรรมวิปัสสนาพระพุทธสักขี เลขที่ 210 หมู่ 1 บ้านดงโชค ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม ร่วมกับสาวกที่เป็นแม่ชีอย่างน้อย 2 คน หลอกลวงต้มตุ๋นให้ซื้อกองทุนผ้าป่าเงิน กองละ 2,800 บาท โดยอ้างว่าไม่เกิน 10 วันเทวดาจะเสกเงินสดให้กองละ 6,000 บาท ส่วนผ้าป่าทองคำ กองละ 3,500 บาท  เทวดาก็จะเสกทองคำให้กองละ 1 สลึง ซึ่งมีคนทดลองซื้อผ้าป่าดังกล่าว เริมจากคนละกองถึง 5 กอง ปรากฏว่าไม่ถึง 10 วันก็ได้สิ่งที่เจ้าสำนักอ้างจริง จึงเชื่อสนิทว่าเทวดาเสกให้จึงลงทุนซื้อผ้าป่าเพิ่มอีกหลายกอง พร้อมทั้งยังชักชวนเพื่อนบ้านและญาติร่วมลงทุนด้วย ปรากฏว่าในระยะเวลาเดือนเศษก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ สอบถามไปยังเจ้าสำนักก็อ้างเทวดาไม่ว่างเสก จึงคิดว่าพวกตนถูกหลอกแน่แล้วจึงรวมตัวกันไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดี.

โดยวันที่ 27 เมษายนฯ พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผบก.ภ.จว.นครพนม พร้อมด้วย พ.ต.อ.จตุรงค์ มหิตธิโชติ ผกก.สืบสวนจังหวัดนครพนม พ.ต.อ.ณัฏฐวิชฌ์ ราชแก้ว ผกก.สภ.เมืองนครพนม  นายสมลักษ์ ยกน้อยวงษ์ นายอำเภอเมืองนครพนม  ร่วมกับนายจุลสัน ทันอินทร์อาจ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดฯ เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์อำเภอเมืองนครพนม นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมฝ่ายปกครอง  นำหมายจับศาลจังหวัดนครพนม ที่ ค 181/2564 ลงวันที่ 27 เมษายน 2564 เข้าจับกุมนางสาวอิสรีย์  อินทร์ไชยา ฐานความผิดฉ้อโกงประชาชน มีผู้เสียหายรวมกว่า 400 ราย มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และได้นำตัว น.ส.อิสรีย์ผู้ต้องหาไปควบคุมตัวไว้ที่ สภ.เมืองนครพนม พร้อมถอดจีวรสีแดงที่ห่มกายออกให้สวมชุดขาวอยู่ในห้องขัง เพื่อรอพนักงานสอบสวน สภ.กุตาไก้ มารับตัวไปสอบสวน โดยผู้ต้องหายังไว้ลายเจ้าสำนักที่อ้างตนสำเร็จธรรมสูงสุด เป็นพระอรหันต์ชั้นพิเศษ ไม่มีชื่อไม่มีเพศไร้นามไร้ตัวตน บอกแก่ผู้สื่อข่าวก่อนจะขึ้นรถตู้ สภ.กุตาไก้  ซึ่งเป็นพื้นที่แรกที่ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ ว่า ถ้าผู้เสียหายอดทนรอจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม เทวดาก็จะเสกทองคำให้แล้ว

ทั้งนี้ หลังพนักงานสอบสวน สภ.กุตาไก้ ได้รับแจ้งแล้วเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา  จึงได้มีการสอบสวนรวบรวมหลักฐานเข้าจับกุมนางดรุณี จันทะนาม อายุ 45 ปี หรือแม่ชีทองพูน  พื้นเพเป็นชาว จ.สกลนคร  และนางสาวไพลิน สุนทรสุวรรณ อายุ 31 ปี หรือแม่ชีการ์ตูน เดิมเป็นชาว จ.ชลบุรี ภายหลังได้ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ในฐานความผิดฉ้อโกงประชาชน ซึ่งทั้งสองเป็นคนสนิทของเจ้าสำนัก ทำหน้าที่เป็นสายบุญเดินสายตระเวนหาลูกค้าชักชวนซื้อกองทุนผ้าป่าเงินสด และผ้าป่าทองคำ  โดยทางตำรวจได้นำตัวไปเสนอศาลจังหวัดนครพนมฝากขัง ตามกฎหมายไปก่อนหน้านี้  อยู่ระหว่างรอการพิจารณาดำเนินคดี   ส่วนนางสาวอิสรีย์ หัวหน้าแก๊งเจ้าสำนัก จะมีการนำตัวไปเสนอศาลจังหวัดนครพนม ขออนุมัติฝากขัง ในวันนี้ (28 เมษายน 2564)

โดยทางผู้สื่อข่าวได้สอบถาม นางสาวอิสรีย์หรือพระยาธรรมิกราช ขณะถูกคุมตัวมาสอบสวนเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขั้นว่า รับรู้หรือไม่ว่ากระทำผิดกฎหมาย แต่เจ้าตัวยังพูดจาวกวนไปมาคล้ายคนป่วยจิต และยืนยันว่าตนเป็นอริยบุคคล เทียบเท่าอริยสงฆ์ ไม่ยึดติดกับสิ่งใด ไม่รับรู้สิ่งใดในโลกนี้แล้ว ส่วนการจัดตั้งกองทุนผ้าป่า  เป็นการทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนยากจน แต่จะมีเวลาคืนเงินให้ตามความเชื่อศรัทธา จะต้องมีฤกษ์ยามที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคืนให้ แต่คนที่มาร่วมทำบุญเกิดความโลภจึงเกิดปัญหา ซึ่งหากทุกคนรอตามเวลากำหนดจะได้รับเงินคืน

ทางด้าน ว่าที่ ร้อยตรี ดร.จุลสัน ทันอินทร์อาจ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.นครพนม ได้ให้ข้อมูลว่าในส่วนของแม่ชีดังกล่าว คือ  นางสาวอิสรีย์ อินทร์ไชยา หรือแม่ชีอู๋  ถือว่าเป็นบุคคลธรรมดา ไม่มีตำแหน่งทางสงฆ์แต่อย่างใด เพราะไม่มีตามพระธรรมวินัย หรือระเบียบสงฆ์ เทียบเสมือนแม่ชีธรรมดาหรือเป็นบุคคลธรรมดาตามกฎหมาย หากกระทำผิดทางกฎหมาย ให้ตำรวจสามารถดำเนินคดีได้เหมือนบุคคลทั่วไป ไม่ต้องผ่านการพิจารณาของคณะปกครองฝ่ายสงฆ์ เป็นเพียงการอ้างตัวขึ้นมาเอง  ส่วนพื้นที่ปฏิบัติธรรมดังกล่าวไม่มีการขออนุญาตก่อตั้งตามกฎหมาย เป็นการจัดตั้งขึ้นเองในพื้นที่ส่วนบุคคล และสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่ต้องไม่กระทำผิดกฎหมาย ส่วนพระสงฆ์ 1 รูปที่เข้ามาพักอ้างว่ามาปฏิบัติธรรม มีการตรวจสอบแล้วกับทางตำรวจ คือ พระโชคชัย สุภัทโท อายุ 36 ปี เดิมอยู่วัดราชบำรุง ต.โพธิ์ทะเล อ.ค่ายบางระจัน  จ.สิงห์บุรี ทางสำนักพุทธศาสนา จึงได้มีการตรวจสอบ แล้วไม่พบความผิดเกี่ยวข้องกับแม่ชีที่กระทำผิด จึงนิมนต์ส่งตัวกลับวัดที่ต้นสังกัดเรียบร้อยแล้ว ส่วนแม่ชีทั้ง 3 คน ให้ทางตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามพยานหลักฐาน ที่มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นห้องแม่ชีที่ปลูกเรียงรายอยู่ในสำนักเถื่อนนั้น ได้พบวิกผมสีทองและชุดกระโปรงสั้น ตลอดจนเครื่องสำอางชุดประทินความงาม ลอตเตอรี่จำนวนหนึ่ง และกล่องบรรจุทองคำรูปพรรณ สอบถามแม่ชีปลายได้ความว่าเป็นของแม่ชีการ์ตูน มีไว้สำหรับสวมออกไปตอนออกนอกสำนัก ซึ่งสอดคล้องกับชาวบ้านคนหนึ่งเผยว่าพบเห็นรถยนต์ออกจากสำนักนี้ในตอนดึกและจะกลับมาก็ย่างเข้าเวลาวันใหม่

นายสุนทร ผูนา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ผู้ดูแลพื้นที่หมู่ 1 บ้านดงโชค ที่ตั้งสำนักเถื่อนแห่งนี้ เปิดเผยว่าปี 2557 นางสาวอิสรีย์ได้มาซื้อที่ดินตรงนี้จำนวน 7 ไร่ พร้อมกับสร้างเป็นที่อยู่อาศัยมา 1 หลัง จากนั้นก็มาขอบ้านเลขที่กับตน เมื่อตรวจสอบก็เห็นเป็นบ้านพักทั่วไปจึงอนุญาตตามขั้นตอน ไม่นานก็เริ่มมีการสร้างพระพุทธรูปและสร้างบ้านเป็นหลังเพิ่มขึ้นตลอดจนมีศาลาโถง ตนก็เห็นว่าเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมจึงไม่เอะใจ กระทั่งมีข่าวเจ้าสำนักไปหลอกลวงชาวบ้านมากกว่า 400คนก็รู้สึกตกใจ

ด้าย นายจันทร์ไทย นรมาตร อายุ 79 ปี ชาวบ้านที่อยู่บ้านตรงข้ามกับสำนักเถื่อน เผยว่าเคยเข้านำอาหารไปถวายเพียงครั้งเดียว เพราะเขาบอกว่าไม่ต้องเอาอะไรมาถวายอีก ตนจึงไม่เข้าไปในนั้นอีกเลย  และนางสดศรี จันทะฝ่าย อายุ 60 ปี ผู้มีบ้านอยู่ติดสำนักแห่งนี้เล่าว่า ตั้งแต่เปิดเป็นสำนักปฏิบัติธรรมเคยเห็นพระออกมาบิณฑบาตเพียงไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย ปกติคนในพื้นที่จะไม่เข้ามาทำบุญ จะเห็นแต่คนต่างถิ่นแวะเวียนกันมาเสมอ ส่วนเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นนั้นไม่ทราบมาก่อน

ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวในพื้นที่ว่า นางสาวอิสรีย์ อินทร์ไชยา  หรืออู๋ ผู้อ้างตนเป็นพระยาธรรมิกราชนั้น เป็นคนหมู่ 6 ต.หนองญาติ อ.เมืองนครพนม หายออกจากบ้านไม่หลายปี กลับเข้ามาอีกทีก็มาเลาะหาซื้อที่ดิน ตอนนั้นยังไม่ได้โกนหัวเป็นแม่ชีด้วยซ้ำ เผลอแป๊บเดียวหลังซื้อที่ดินจำนวน 7 ไร่นี้แล้ว ก็กลายเป็นแม่ชีตั้งสำนักขึ้นมาและห่มจีวรแต่งกายคล้ายสงฆ์ ทั้งอวดอุตริอ้างตนเป็นเป็นพระอรหันต์ชั้นพิเศษ สามารถติดต่อสื่อสารกับหมู่เหล่าเทวดา เหตุที่ผู้เสียหายไปแจ้งความช้าเพราะนางสาวอิสรีย์จะสาปแช่งไว้ ว่า ถ้าใครนำเรื่องภายในไปแจ้งความจะต้องตายโหงทั้งหมด

ตร.รวบ สาวอ้างเป็น ภิกษุณี หลอกเงิน ปชช. – อ้างนำไปช่วยเหลือโควิด

หนุ่มคลั่งรัก ในโลอกออนไลน์ โอนเงินให้เกือบ 7 ล้าน สุดท้ายรู้ความจริง