เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

จากกรณีเฟซบุ๊กโพสต์ภาพและข้อความขณะตำรวจจราจรตามโครงการพระราชดำริ ช่วยเหลือเด็กเล็กป่วยหนัก นำส่งโรงพยาบาล แต่เนื่องจากการจราจรในช่วงเช้าติดขัด เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจนำเด็กขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ฝ่าวิกฤติจราจรและสามารถพาเด็กส่งถึงมือหมอได้ทันเวลา ทำให้คนแสดงความคิดเห็นต่อโพสต์ดังกล่าวด้วยความชื่นชมต่อการปฏิบัติหนาที่ของเจ้าหน้าที่

ทีมข่าวได้พูดคุยกับ สิบตำรวจตรีพีรทัศน์ โกพล ผบ.หมู่งานจราจรโครงการพระราชดำริ กล่าวถึงกรณีได้รับแจ้งและเข้าช่วยเหลือว่า ขณะนั้นเวลาประมาณ 06.45 น. ตนปฏิบัติงานประจำจุดตั้งฮั้วเส็ง แล้วได้รับแจ้งว่ามีเด็กนั่งรถสาธารณะมากับผู้ปกครอง แต่เกิดอาการชักเกร็ง ซึ่งรถคันดังกล่าวมาจากพุทธมณฑลสาย 4 กำลังขึ้นมาจากทางคู่ขนานลอยฟ้า ตนจึงให้รถสาธารณะขับตามเส้นทางโดยมีรถจักรยานยนต์ของตนนำขบวน จากนั้นเมื่อถึงช่วงแยกบางพลัด ซึ่งการจราจรหนาแน่น จึงเปลี่ยนจากพาผู้ป่วยนั่งรถสาธารณะมานั่งรถจักรยานยนต์คันเล็กแทน เพื่อความคล่องตัว ขณะนั้นผู้ป่วยมีอาการชักเกร็ง ไข้ขึ้นสูง จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลด้วยการใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที ซึ่งแพทย์โรงพยาบาลเด็ก ได้นำตัวน้องส่งห้องฉุกเฉินทันที

ทั้งนี้ สิบตำรวจตรีพีรทัศน์ ยอมรับว่า เคสของผู้ป่วยเด็กรายนี้ค่อนข้างอาการหนัก ส่วนใหญ่แล้วเคสแบบนี้ก็จะมีการนำผู้ป่วยขึ้นรถแท็กซี่ แต่เนื่องด้วยการจราจรติดขัด จึงต้องใช้การตัดสินใจพาขึ้นรถจักรยานยนต์ เพื่อให้น้องปลอดภัยโดยเร็ว

ด้าน ร้อยตำรวจโทสมชาย ผลเจริญ รองสารวัตรโครงการพระราชดำริ คนขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว เล่าว่า หลังจากได้รับคำสั่งให้มีการเปลี่ยนผู้ป่วยมานั่งรถจักรยานยนต์แทน ตนก็รีบนำรถคันเล็กที่มีลักษณะเบาะรถเหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปมาใช้แทน เพราะรถแบบนี้สามารถนั่งได้ง่ายและคล่องตัวมากกว่า

 ทั้งนี้ ตนได้พูดคุยกับพ่อเด็กให้เปลี่ยนมานั่งจักรยานยนต์ ซึ่งคุณพ่อก็เต็มใจ แล้วก็ขึ้นมานั่งซ้อนท้ายพร้อมกับอุ้มลูกไว้ โดยตอนนั้นน้องเริ่มมีอาการตาค้าง ตนจึงต้องรีบขับขี่แต่ยังจำกัดความเร็ว ส่งผลให้ถึงโรงพยาบาลด้วยความปลอดภัย ซึ่งตนก็รู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ช่วยชีวิตเด็กและประชาชน

ส่วนตัวก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาแสดงความเห็นชื่นชม แต่การทำงานทุกครั้งที่ปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นไปตามปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งโครงการจราจรในพระราชดำริ จะต้องทำการช่วยเหลือคนเจ็บป่วย , คนคลอดลูก หรือยังไม่คลอด รวมทั้งอุบัติเหตุฉุกเฉิน ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญในการฝึกฝน

จากนั้นทีมข่าวได้ขึ้นไปเยี่ยมอาการของ ด.ญ.พรทิพย์ สัญชาติเมียนมา อายุ 1 ปี 4 เดือน ซึ่งกำลังรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลเด็กราชวิถี โดยพยาบาลผู้ดูแลให้ข้อมูลว่า ขณะนี้น้องยังอยู่ในผู้ป่วยอาการกึ่งวิกฤติ ต้องต่อท่อให้ออกซิเจนเพื่อช่วยเรื่องการหายใจ รวมทั้งเจาะคอเพื่อดูดเสมหะ ซึ่งน้องป่วยมาด้วยอาการปอดอักเสบ พร้อมกับต้องดูประวัติการรักษาในโรงพยาบาลเดิมที่เคยเข้ารับการรักษาอยู่

ทั้งนี้ อาการที่มาด้วยการชักเกร็งและตาค้างนั้น ยอมรับว่าเป็นเคสฉุกเฉินที่จะต้องเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว เพราะขณะนั้นน้องอาจจะยังไม่สามารถหายใจด้วยตนเองได้ ซึ่งระหว่างนี้จะต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด คาดว่าจะใช้เวลาในการเข้ารับการรักษาอีกหลายสัปดาห์