เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เกมสุดระทึกดราม่าทำเอาใจหายใจคว่ำกันเป็นแถว หลัง “หมีขาว” มีฮึดไล่ตีเสมอในช่วง 120 นาทีแบบสุดดราม่าช่วงท้ายเกม ก่อนจะมาตัดสินกันที่การยิงจุดโทษ และเป็นโครเอเชียที่ยิงได้แม่นยำกว่าเบียดเอาชนะ รัสเซีย ไปได้อย่างตื่นเต้น 4-3 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ ในรอบ 20 ปี นับแต่ปี 1998 ที่ฝรั่งเศส โดยจะดวลกับ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ในวันพุธที่ 11 ก.ค.นี้

 

สนาม : ฟิสท์ โอลิมปิก สเตเดี้ยม, โซชี, ประเทศรัสเซีย

รอบก่อนรองฯ คู่สุดท้ายเป็นการดวลกันระหว่าง รัสเซีย ชาติเจ้าภาพ กับม้ามืดอย่าง โครเอเชีย ซึ่งทั้งสองต่างจัดทีมชุดเก่งลงบู๊ และมีการปรับทัพกันนิดหน่อย โดย รัสเซีย ให้ เดนิส เชอรีเชฟ สตาร์ทเป็นตัวจริง ส่วน โครเอเชีย จัด อันเดรย์ ครามาริช ลงเล่นแทน มาร์เซโล่ โบรโซวิช

 

 

รัสเซีย เริ่มเกมได้คึกคักทีเดียว และได้เสียวแบบเล็กๆ ก่อนในนาทีที่ 3 จากการหลุดเข้าไปยิงของ เดนิส เชอรีเชฟ แต่ ซิเม่ เวอร์ซัลจ์โก้ แข้งโครแอต บล็อกเอาไว้ได้ ทีมเจ้าภาพยังเดินหน้าบุกใส่ต่อ และได้ลุ้นอีกครั้งในนาทีที่ 5 จากการยิงของ อาร์เต็ม ซิวบา แต่ก็เป็น เดยัน ลอฟเรน เซนเตอร์แบ็กโครเอเชีย เข้ามาขวางเอาไว้ได้ก่อน นาทีที่ 7 กลายเป็น โครเอเชีย ที่ได้ลุ้นบ้างจากลูกเตะมุมที่ ลอฟเรน โขกตั้งเข้ากลาง และเป็น อันเต้ เรบิช โหม่งข้ามคานไปนิดเดียว หลังจากนั้นทีม “ตราหมากรุก” ก็เริ่มเล่นได้มั่นใจขึ้น กลายเป็น รัสเซีย ที่ต้องตั้งรับเป็นส่วนใหญ่ นาทีที่ 16 โครเอชีย ได้ฟรีคิกระยะได้ลุ้น แต่ อีวาน ราคิติช ยิงข้ามคานไปไกลอย่างน่าผิดหวัง

 

 

รัสเซีย ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 31 จากจังหวะที่ เชอรีเชฟ เล่นชิ่งกับ ซิวบา ก่อนยิงด้วยซ้ายส่งบอลโค้งๆ จากระยะ 20 หลา เสียบใต้คานอย่างสวยงาม อย่างไรก็ตาม นาทีที่ 40 โครเอเชีย กลับมาสู่เกมได้ หลังได้ประตูตีเสมอ 1-1 จากจังหวะที่ มาริโอ มานด์ซูคิช หลุดเข้าไปเปิดบอลเข้ากลางให้ อันเดรย์ ครามาริช ก้มโขกเข้าประตูไปอย่างเฉียบขาด จบ 45 นาทีแรก รัสเซีย เสมอ โครเอเชีย 1-1

 

 

เริ่มครึ่งหลัง โครเอเชีย บุกใส่ก่อน และนาทีที่ 52 ครามาริช ได้โชว์ลูกยิงจักรยานอากาศ แต่ อิกอร์ อาคินเฟเยฟ นายทวารรัสเซีย รับเอาไว้ได้สบายๆ นาทีที่ 60 โครเอเชีย มีโอกาสทองที่จะได้ประตูพลิกนำ เมื่อ อีวาน เปริซิช ได้ยิงเน้นๆ จากระยะแค่ 8 หลา แต่บอลกลับชนเสาและกลิ้งผ่านหน้าประตูอย่างน่าเสียดาย จากนั้นนาทีที่ 62 รัสเซีย ตอบโต้บ้าง จากลูกโขกของ ซิวบา แต่บอลไปตรงตัว ดานิเยล ซูบาซิช นายด่านโครเอเชีย นาทีที่ 72 รัสเซีย มีลุ้นอีกครั้งจากจังหวะที่ มาริโอ แฟร์นานเดส ได้เปิดบอลแบบเน้นๆ ให้ อเล็กซานเดอร์ เอโรคิน ตัวสำรอง ขึ้นโขกเดี่ยวๆ แต่บอลข้ามคานไป

 

 

ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีฝ่ายใดทำประตูกันได้ แม้ช่วงทดเวลาบาดเจ็บเป็น โครเอเชีย ที่ได้บี้หนัก จบเกม 90 นาที เสมอกัน 1-1 ทำให้เกมการแข่งขันต้องมีการต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที นาทีที่ 11 ของการต่อเวลาพิเศษ หรือนาทีที่ 101 โครเอเชีย มาได้ประตูพลิกขึ้นนำ จากจังหวะได้ลูกเตะมุมที่ ลูก้า โมดริช เปิดเข้ามาให้ โดมากอย วิด้า โขกเข้าไป หลังจากเสียประตูไป รัสเซีย ก็เดินหน้าบุกใส่ทันที แต่ยังไม่สามารถเจาะประตูได้ จบครึ่งแรกของการต่อเวลาพิเศษ รัสเซีย ตามหลัง โครเอเชีย 1-2 รัสเซีย มีโอกาสทำประตูตีเสมอในนาทีที่ 112 จากจังหวะที่ ดาเลอร์ คูเซียเยฟ ได้กดเต็มๆ จากแถวสอง แต่ ดานิเยล ซูบาซิช นายทวารโครเอเชีย ป้องกันเอาไว้ได้

 

ในที่สุดนาทีที่ 115 รัสเซีย ตีเสมอเป็น 2-2 ได้สำเร็จ จากจังหวะได้ลูกฟรีคิกที่ อลัน ซาโกเยฟ เปิดเข้ามาเน้นๆ ให้ มาริโอ แฟร์นานเดส โขกเข้าไปตุงตาข่าย และจบเกม 120 นาที รัสเซีย เสมอ โครเอเชีย สุดมันส์ 2-2 ต้องไปตัดสินหาผู้ชนะในการดวลลูกจุดโทษ

รัสเซีย คนที่ 1 ฟิโอดอร์ สโมลอฟ – ไม่เข้า
โครเอเชีย คนที่ 1 มาร์เซโล่ โบรโซวิช – เข้า

รัสเซีย คนที่ 2  อลัน ซาโกเยฟ – เข้า
โครเอเชีย คนที่ 2 มาเตโอ โควาซิช – ไม่เข้า

รัสเซีย คนที่ 3 มาริโอ แฟร์นานเดส – ไม่เข้า 
โครเอเชีย คนที่ 3 ลูก้า โมดริช – เข้า 

รัสเซีย คนที่ 4 เซอร์เก อิกนาเชวิช – เข้า 
โครเอเชีย คนที่ 4 โดมากอย วิด้า – เข้า

รัสเซีย คนที่ 5 ดาเลอร์ คูเซียเยฟ – เข้า
โครเอเชีย คนที่ 5 อิวาน ราคิติช – เข้า

โครเอเชีย ชนะดวลจุดโทษ 4-3 ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ไปชนกับ อังกฤษ วันพุธที่ 11 กรกฎาคมนี้

 

 

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

รัสเซีย (4-2-3-1) : อิกอร์ อาคินเฟเยฟ (กัปตันทีม) – มาริโอ แฟร์นานเดส, อิลย่า คูเตปอฟ, เซอร์เก อิกนาเชวิช, ฟิโอดอร์ คูเดรียชอฟ – ดาเลอร์ คูเซียเยฟ, โรมัน ซอบนิน – เดนิส เชรีเชฟ (ฟิโอดอร์ สโมลอฟ แทน น. 68), อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน (อลัน ซาโกเยฟ แทน น. 102), อเล็กซานเดอร์ ซาเมดอฟ (อเล็กซานเดอร์ เอโรคิน แทน น.54) – อาร์เต็ม ซิวบา (ยูรี กาซินสกี้ แทน น. 79)

เทรนเนอร์ : สตานิสลาฟ เชอร์เชซอฟ

โครเอเชีย (4-3-3) : ดานิเยล ซูบาซิช – ซิเม่ เวอร์ซัลจ์โก้ (เวดราน ชอร์ลูก้า แทน น. 97), เดยัน ลอฟเรน, โดมากอย วิด้า, อิวาน สตรินิช (โยซิป พิวาริช แทน น.74) – อิวาน ราคิติช, ลูก้า โมดริช (กัปตันทีม) – อันเต้ เรบิช, อันเดรย์ ครามาริช (มาเตโอ โควาซิช แทน น. 88), อิวาน เปริซิช (มาร์เซโล่ โบรโซวิช แทน น.63) – มาริโอ มานด์ซูคิช

เทรนเนอร์ :  ซลัตโก้ ดาลิช

ผู้ตัดสิน : ซานโดร ริชชี่ (บราซิล)