เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ติโบต์ กูร์กตัวส์ นายทวารจอมหนึบโชว์โคตรเซฟพัลวันนำ เบลเยียม ดับซ่า บราซิล เต็งหนึ่ง ด้วยสกอร์ 2-1 รอบก่อนรองชนะเลิศ ศึกฟุตบอลโลก 2018 ส่งให้พวกเขาได้ทะลุเข้ารอบตัดเชือกครั้งแรกในรอบ 32 ปี โดยจะต้องดวลกับ ฝรั่งเศส ในวันที่ 10 ก.ค.นี้

 

สนาม :   คาซาน อารีน่า, คาซาน, ประเทศรัสเซีย

บราซิลยังคงใช้สามแนวรุกพิฆาต ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, เนย์มาร์ และ กาเบรียล เชซุส เพื่อเจาะแนวรับของ เบลเยียม ที่มี  แว็งซ็องต์ ก็องปานี กับ แยน แฟร์ต็องเก้น ขณะที่แนวรุก “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ก็น่ากลัวไม่แพ้กันเมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ และ เอแด็น อาซาร์ ทำหน้าที่คุมแผงกลาง ส่วน โรเมลู ลูกากู พร้อมสร้างความปั่นป่วนให้เกมรับแซมบ้า

 

 

เริ่มต้น บราซิล ได้เปิดเกมและพยามครองเกมเพื่อคอยหาช่องว่าง แต่กลายเป็น เบลเยียม ที่สร้างความหวดเสียวก่อน ใน น. 3 เมื่อ  เดอ บรอยน์  เบียดแย่งบอลได้จากแฟร์นานดินโญ่ ก่อนจะลากเข้าไปกดระยะ 25 หลา แต่ออกข้างไปแบบไม่มีลุ้น ทั้งสองฝ่ายยังคงเล่นแบบคุมเชิง โดยที่บอลส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนกลาง น. 9 ทัพ “แซมบ้า” ได้เตะมุม เนย์มาร์ เปิดเข้ามา บอลไปถึง ติอาโก้ ซิลา แต่เจ้าตัวยิงไม่ดีทำให้บอลลอยแบบไม่มีน้ำหนักและไปชนเสา และ ติโบต์ กูร์กตัวส์ คว้าเอาไว้ได้ทัน

 

 

ในจังหวะสวนกับ ลูกากู กระชากหนี ฟากเนอร์ ก่อนจะลากเข้าไปบริเวณกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย และเปิดเข้ามาติดแนวรับ บราซิล บอลทะลักมาถึง เดอ บรอยน์ เจ้าตัวซัดไปแต่บอลออกข้างไป จากนั้น น. 11 บอลขลุกขลิกหน้าประตู บราซิล ก่อน เชซุส ส่งให้ เปาลินโญ่ แต่โดนสกัดทิ้งออกหลังไป และจากนั้นในจังหวะเตะมุม วิลเลี่ยน เปิดเข้ามาบอลทะลักไปที่ เปาลินโญ่ แต่เจ้าตัวดันยิงแป๊กไปอย่างน่าเสียดาย จนกระทั่ง น. 13 เบลเยียม ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน จากจังหวะเตะมุม เมื่อ นาเซอร์ ชาดลี่ ทำหน้าที่เตะมุมจากฝั่งซ้าย บอลลอยมาถึง แว็งซ็องต์ ก็องปานี ที่พยายามโหม่งแต่ไม่โดน อย่างไรก็ตามโชคยังดีเมื่อบอลลอยไปโดน แฟร์นานดินโญ่ เข้าประตูตัวเองไป ส่งให้ เบลเยียม นำ 1-0

 

 

แต่แค่สองนาที บราซิล พยายามเปิดเกมบุกเพื่อหวังตีเสมอให้ได้ โดย เนย์มาร์ กระชากบอลไปจนถึงริมเส้นหลังก่อนเปิดเข้ากลาง เชซุส จับบอลได้แต่หันหลังให้ประตูทำให้ยิงไม่ได้และโดน ก็องปานี สกัดทิ้งไปได้อย่างหวุดหวิด น. 19 จากความสามารถเฉพาะตัวของ คูตินโญ่ ที่ลากบอลเข้าไปในแดน เบลเยียม และตัดสินใจซัดไกล 20 หลา แต่ก็เข้ามือ กูร์กตัวส์ แบบสบายๆ จากนั้น น. 23 สวนกลับอีกครั้ง และบอลไปถึง ลูกากู โดยเจ้าตัวโชว์สเต็ปเทพแตะลอดขากองหลังแซมบ้า แต่โดน มิรันด้า เคลียร์ทิ้งไปได้

 

 

ทั้งสองทีมเปิดเกมแลกใส่กันแบบไม่ยั้ง น. 26 มาร์เซโล่ ได้โอกาสลากบอลกว่า 50 หลา จนกระทั่งเข้าระยะสังหารระยะ 25 หลา โดย ฟูลแบ็กเรอัล มาดริด ตะบันด้วยซ้ายเต็มข้อ แต่  กูร์กตัวส์ พุ่งเซฟได้อย่างสุดยอด เข้าสู่ น. 31 จากจังหวะเตะมุมหน้าประตู เบลเยียม, เนย์มาร์ เปิดบอลเข้ามาแต่ เฟลไลนี่ โหม่งสะกัดได้ และบอลมาถึง ลูกากู โดยหัวหอกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กระชากบอลตั้งแต่แดนตัวเองชนิดที่แข้งบราซิเลียนเบียดไม่อยู่ ก่อนจะส่งบอลให้ เดอ บรอยน์ และเจ้าตัวก็ไม่ปล่อยโอกาสทองหลุดมือ เมื่อจัดการตะบันเต็มข้อบริเวณเส้นเขตโทษบอลพุ่งทะยานฟ้าราวจรวดผ่านมือ อลิสซอน เข้าไปซุกก้นตาข่าย ทำให้ทีมหนีห่าง 2-0

 

 

บราซิล ยังไม่ยอมแพ้โดย น. 33 มาร์เซโล่ เปิดบอลให้ เชซุส ได้โหม่งโล่งๆ ในระยะ 12 หลา แต่บอลออกหลังแบบไม่มีลุ้น สองนาทีต่อมา กูร์กตัวส์ โชว์ซูเปอร์เซพจากจังหวะยิงไกลของบราซิล น. 41 เดอ บรอยน์ ได้ปั่นฟรีคิกบริเวณมุมเขตโทษ แต่ อลิสซอน พุ่งปัดข้ามคานออกไป จากนั้นในจังหวะเตะมุมของ ชาดลี่ บอลพุ่งต่ำและ ก็องปานี วิ่งเข้ามาตอกส้น แต่บอลเบาเข้ามือ อลิสซอน น. 45+1 เนย์มาร์ โดน โธมัส เมอนิเย่ร์ เบียดกลิ้งในเขตโทษ แต่ มิโลรัด มาซิซ กรรมการเมินเฉยปล่อยให้เล่นต่อไป จากนั้นท่านเปาเลือดเซิร์บเป่านกหวีดยาวหมดเวลาครึ่งแรก

 

 

เข้าสู่ครึ่ง ตีเต้ ต้องเปลี่ยนแปลงโดยส่ง โรเบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แทน วิลเลี่ยน เริ่มเกม เบลเยียม เปิดเกมบุกทันที แต่ บราซิล ยังเหนียวแน่น และ น. 51 เนย์มาร์ โดน ก็องปานี แย่งบอลได้ และ กัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลากบอลขึ้นมาและส่งให้ เดอ บรอนย์ ก่อนจะผ่านให้ ลูกากู เข้าไปหลุดดวลตัวต่อตัวกับ มิรันด้า แต่สุดท้ายแนวรับแซมบ้า เบียดเอาชนะไปได้

 

 

 

น. 53 มาร์เซโลน่า กระชากเข้าไปในเขตโทษและเปิดบอลเลียดไปหน้าประตู ฟีร์มีโน่ พยายามยื่นขาเข้าไปแต่ไม่ถึงบอลออกหลังไป จากนั้น น. 56 บราซิล เกือบได้จุดโทษจากจังหวะที่ เชซุส โชว์ลีลาแตะลอดขา แฟร์ต็องเก้น และโดน ก็องปานี สกัดล้มในเขตโทษ โดยดูเหมือนจะเป็นจุดโทษ แต่เมื่อกรรมการเช็ควีเออาร์แล้ว ก็ปล่อยให้เล่นต่อไป บราซิล พยายามอย่างหนักที่จะยิงประตูแรกให้ได้เพื่อเป็นจุดเปลี่ยนเกม แต่เป็น เบลเยียม ที่มีลุ้นทำประตูหนีห่างใน น.  62 เดอ บรอยน์ ส่งให้ อาซาร์ หลุดเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้ายและตัดสินใจยิงเต็มข้อ บอลผ่านเสาไปแบบมีลุ้น โดยเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่ช่วง 20 นาทีสุดท้าย สกอร์ยังคงเหมือนเดิม

น. 70 เมอนิเย่ร์ โดนใบเหลืองจากการสกัด เนย์มาร์ ซึ่งหาก เบลเยียม เข้ารอบต่อไปเขาจะหมดสิทธิ์ลงเล่นในรอบรองชนะเลิศ เข้าสู่ น. 74  เรนาโต้ ออกุสโต้ ลากหนี้ แฟร์ต็องเก้น เข้าไปในเขตโทษและซัดเต็มแรงแต่ กูร์กตัวส์ ปัดได้ ในที่สุดความพยายามของ บราซิล ก็สำเร็จใน น. 76 จากจังหวะเปิดบอลทางฝั่งซ้ายของ คูตินโญ่ ที่แม่นยำราวกับจับวาง และ ออกุสโต้ ไม่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอย กระโดดขึ้นโหม่งบอลผ่านมือ กูร์กตัวส์ เบียดเสาเข้าไป ทำให้ บราซิล ตามมา 1-2

 

 

น. 78 บราซิล มีลุ้นตีเสมอจากจังหวะที่ เนย์มาร์ ลากบอลไปทางฝั่งซ้าย และพุ่งทะลุเข้าเขตโทษก่อนส่งให้ ฟีร์มีโน่ พลิกตัวยิงเต็มแรงแต่บอลเลยข้ามคาน เข้าสู่ น. 82 ทัพ “เซเลเซา” มีลุ้นอีกครั้งโดย เนย์มาร์ ส่งบอลเข้ากลางให้ ออกุสโต้ และเขาสบช่องมองเห็นโอกาสจัดการส่องระยะ 25 หลาแต่บอลเฉียดเสาออกไปไม่กี่นิ้ว บราซิล มีโอกาสเปิดเกมบุกอีกครั้งใน น. 85 เนย์มาร์ ได้บอลลากตัดเข้าฝั่งซ้ายกรอบเขตโทษก่อนส่งให้ คูตินโญ่ วิ่งเข้ามาแปเต็มเท้า แต่บอลผ่านเสาไปแบบไม่มีลุ้น อีกนาทีต่อมา อาซาร์ มีโอกาสสวนกลับ แต่โดน แฟร์นานดินโญ่ สกัดล้มกลิ้ง ต่อมาอีกไม่กี่นาทีเป็น เนย์มาร์ อีกครั้งที่ได้บอลในเขตโทษ เจ้าตัวพยายามกระชากหนีโทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ สุดท้ายบอลลั่นออกหลังไป

เข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 5 นาที เบลเยียม ยังคงเล่นอย่างมีระเบียบไม่ปล่อยให้ บราซิล ไม่ได้สร้างโอกาสมากนัก จนกระทั่ง น. 90+4 โอกาสทองฝังเพชรของบราซิล เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ ดั๊กลาส คอสต้า ส่งบอลให้ เนย์มาร์ และ ดาวยิงค่าตัวแพงที่สุดในโลก ปั่นบอลพุ่งไปที่หน้าประตู แต่ กูร์กตัวส์ โชว์โคตรซูเปอร์เซฟปัดข้ามคานไปอย่างน่าเหลือเชื่อ นั่นเป็นโอกาสสุดท้ายของ บราซิล เมื่อผู้ตัดสินเป่านกหวีดหมดเวลา ส่งให้ เบลเยียม ผ่านเขาไปรอบรองชนะเลิศครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1986 โดยจะพบ ฝรั่งเศส ในวันอังคารที่ 10 ก.ค.นี้

 

 

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

บราซิล (4-2-3-1) : อลิสซอน – ฟากเนอร์, ติอาโก้ ซิลวา, ชูเอา มิรันด้า (กัปตันทีม), มาร์เซโล่ – แฟร์นันดินโญ่, เปาลินโญ่ – วิลเลี่ยน (โรเบร์โต้ ฟีร์มีโน่ น. 45) , ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, เนย์มาร์ – กาเบรียล เชซุส (ดั๊กลาส คอสต้า น. 58)

เทรนเนอร์ : ติเต้

เบลเยียม (3-4-3) : ติโบต์ กูร์กตัวส์ – โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, แยน แฟร์ต็องเก้น – โธมัส เมอนิเย่ร์, มารูยาน เฟลไลนี่, อักเซล วิตเซล, นาเซอร์ ชาดลี่ – เควิน เดอ บรอยน์, โรเมลู ลูกากู, เอแด็น อาซาร์ (กัปตันทีม)

เทรนเนอร์ : โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ

ผู้ตัดสิน : มิโลรัด มาซิซ (เซอร์เบีย)