เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ร่ำไห้…!! รับศพหนุ่มถูกยิงบนโรงพัก ลั่นเอาผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

วันที่ 17 ธ.ค. 65 นางนุชนารถ พุทธคุณ อายุ 58 ปี แม่ผู้เสียชีวิต นางสาวปภาดา นิสสัยสุข อายุ 32 ปี ภรรยาผู้เสียชีวิต และ นางสาวไหมใจ ชีพวนิช อายุ 38 ปี เดินทางมาที่นิติเวช รพ.ศิริราช เพื่อรับร่างของ นายคมสัน อินทร์ฤทธิ์ หรือม่อน ไปบำเพ็ญกุศลตามศาสนา

นางสาวปภาดา เปิดเผยว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นเกิดจากเพียงแค่การทะเลาะวิวาทกันบนท้องถนน แต่กลับกลายมาเป็นความสูญเสียถึงชีวิต จุดเริ่มตนของเรื่องนี้เกิดจากในวันเกิดเหตุแรกวันที่ 27 กันยายน 65 คู่กรณีต้องการจะยูเทิร์น แต่คู่กรณีไม่ได้ต่อแถวเข้าคิวตามที่รถคันอื่นทำ แฟนตนซึ่งตอนนั้นขับรถมาในทางตรงจึงไม่ให้ทาง สร้างความไม่พอใจให้กับคู่กรณี เมื่อคู่กรณียูเทิร์นกลับมาได้ก็ขับรถตามรถตนมา พร้อมกับเปิดไฟสูง จากนั้นคู่กรณีขับรถออกเลนซ้ายเพื่อแซงขึ้นข้างหน้า

ยอมรับว่าตอนนั้นสามีตนก็โมโห จึงมีการขับรถปาดกันไปกันมา สามีตนจึงหยิบขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่ดื่มแล้ว ซึ่งอยู่ในรถขว้างออกไปที่รถของคู่กรณีเพื่อจะให้คู่กรณีหยุดรถ จะได้พูดคุยเจรจากัน ซึ่งคู่กรณีก็หยุดรถและสามีตนก็ไปจอดขนาบข้าง คู่กรณีลดกระจกลงมาพร้อมกับการถ่ายคลิป ซึ่งจังหวะนั้นก็มีการตอบโต้เถียงด้วยถ่อยคำ ปาข้าวของไปมาจนโดนหน้าสามีตน ทำให้สามีตนโมโหจึงเข้าไปต่อยคู่กรณี 1-2 ครั้งเท่านั้น

ส่วนคู่กรณีก็ต่อยส่วนคืนมาถึงไม่คิดว่าจะเป็นคดีเพราะคิดว่าเป็นการทะเลาะกันระหว่างลูกผู้ชาย จากนั้นหลานชายของตนได้ลงไปห้าม ไม่ได้ลงไปรุมทำร้ายตามที่คู่กรณีกล่าวอ้าง จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป ซึ่งในระหว่างนั้นมีพยานน้องที่ขับเคอรี่เห็นว่าคู่กรณีมีปืน ส่วนเรื่องการใช้สนับมือนั้นตนยืนยันว่าไม่มี ถ้ามีจริงแผลที่ใบหน้าของคู่กรณีคงไม่ใช่แค่รอยฟกช้ำ

 

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

-คำสั่งศาล…!! ไม่ให้ประกันตัวหนุ่มปืนโหด ผู้ต้องหาที่ทำร้ายร่างกายดับคาโรงพัก

-เดือด…!! เคลียร์ไม่ลงตัว “ช็อก”ลั่นไกบนโรงพักต่อหน้า”ร้อยเวร” ดับ 1 เจ็บ 1

 

ส่วนเรื่องที่มีการเจรจาบน สน.หลักสอง ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ตนและคู่กรณีไม่เคยมีการเจรจากันมาก่อน วันที่เกิดเหตุเป็นการนัดเจรจากันครั้งแรก โดยคู่กรณีมีการเรียกเงิน 9 ล้านจริง ซึ่งตนเป็นแม่บ้าน หาเช้ากินค่ำจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายในจำนวนมากมายขนาดนั้น ซึ่งเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้รุนแรง แต่เมียของคู่กรณีได้พูดขึ้นว่าไม่คิดจะขอโทษบางหรอ สามีตนที่นั่งหันหน้ามานางพนักงานสอบสวนจึงเอี้ยวตัวไปขอโทษคู่กรณีที่ยื่นอยู่ด้านหลัง ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้รุนแรง ตามที่อยู่กรณีอ้าง

จึงอาจจะเป็นฉนวนเหตุที่ผู้ก่อเหตุไม่พอใจไปเอาปืนมายิงสามีตน ทั้งนี้ตนเชื่อว่าคู่กรณีจงใจที่จะก่อเหตุหรือไม่ เพราะมีการพกปืนมาด้วย ลักษณะการจอดรถจอดที่หน้าประตู สน.พอดี พอยิงทั้งคู่ก็วิ่งไปขึ้นรถและหลบหนีไป และมีคนสังเกตเห็นว่าภรรยาผู้ก่อเหตุมีการใส่เอียร์ปัก ที่คนซ้อมยิงปืนมักจะใส่กันที่หู จึงตั้งข้อสังเกตว่าถ้าไม่ได้เตรียมการ หรือมีส่วนรู้เห็นจะมีการใส่เอียร์ปั๊กมาก่อนเพื่ออะไร

ทั้งนี้ตนมองว่าเหตุที่เกิดขึ้นมันรุนแรงเกินไป แถมไม่ได้ยิงนัดเดียว คนร้ายยิงจนหมดแม็กในพื้นที่บนโรงพักสถานีตำรวจ ถ้าหากตอนนั้นตำรวจมีการระงับเหตุอย่างนันท่วงทีสามีคงไม่ตาย หลังจากนี้อาจจะมีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาเกิดเหตุด้วย เนื่องจากมองว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ท้ายที่สุดตนอยากถามคนก่อเหตุว่า จิตใจทำด้วยอะไร ตอนที่ยิงสามีของตน ตนและลูกก็นั่งอยู่ตรงนั้น ลูกเห็นพ่อเขาถูกยิง ล้มลงไปต่อหน้าต่อตา ส่วนสามีอยากบอกว่าให้กลับไปอยู่บ้านด้วยกัน ตนและลูกรออยู่

ด้าน นางนุชนารถ กล่าวว่า หลังจากนี้ไม่มีเสาหลักดูแลครอบครัวก็คงลำบาก เสียใจมากที่ลูกต้องมาเสียชีวิต เรื่องเกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ลูกชายเป็นคนดี เป็นที่รักของเพื่อนและครอบครัว ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแวงกับใคร ส่วนเรื่องการขับรถก็เป็นคนขับรถใจเย็นและมีมารยาท บางครั้งลูกชายยังก้มหัวขอบคุณสำหรับคนที่ให้ทาง วันที่เกิดเหตุเชื่อว่าหากไม่ถูกกระทำก่อนลูกชายคงไม่ลงไปทำร้ายคู่กรณี