เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

นักแสดงและพิธีกรหนุ่มมากความสามารถ ซี ศิวัฒน์ เปิดใจครั้งแรกถึงสิ่งที่เสียใจที่สุดในชีวิต ความผิดพลาดในอดีตระหว่างครอบครัว จนกลายเป็นปมที่ทำให้ต้องเสียน้ำตา 3 ครั้งในชีวิต และเคล็ดลับ

การครองรักที่ยาวนานเข้าสู่ปีที่ 8 กับ ภรรยาสาว เอมี่ กลิ่นประทุม พร้อมเผยสาเหตุทำไมถึงไม่มีทายาทสักที ในรายการ WOODY FM

มีอะไรที่ เอมี่ ยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวคุณไหม?

“(หัวเราะ) ผมว่าไม่มีนะ นอกจากว่าเรื่องที่เขาไม่รู้ เรื่องบางเรื่องมันก็ดีแล้ว ที่มันจะอยู่ในสิ่งที่เขาไม่รู้ (ยิ้ม) แต่โดยส่วนมากเขาก็จะรู้ คนนี้ผมว่าเป็นผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดบนโลกใบนี้เลย โดยเฉพาะกับสามีเขาคนนี้

ก็คือ ผมไม่สามารถที่จะหลอกหรือว่าโกหกอะไรเขาได้เลยจริงๆ เขาจะรู้ความเป็นไปเป็นมาของผมทุกอย่าง

เพราะฉะนั้นผมว่าทางที่ดีที่สุด เราไม่จำเป็นต้องไปเอาชนะเซ้นส์ของผู้หญิง เพราะคุณจะไม่มีทางชนะ ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในโมเมนต์นั้นเลย ฉะนั้นวันนี้คือเส้นกราฟชีวิตผมง่ายมากพี่วู้ดดี้

ทำงาน กินข้าว กลับบ้าน เล่นเกม นอน ทำซ้ำๆ จริงๆ เพราะผมเคยผ่านโมเมนต์ Roller Coaster มาแล้วมันไม่มีความสุข”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เปิดใจครั้งแรก! ซี ศิวัฒน์ 3ปีกับรักต้องห้าม!!

“ซี ศิวัฒน์ เผยแชท เอมมี่ เหมือนมีเจ้ากรรมนายเวร เพื่อนร่วมแฉซ้ำ พีคมาก

ตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างคุณกับเอมี่ในตอนนี้ เพราะแต่ละปีก็ต้องรักกันมากขึ้น?

“เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งสามี ทั้งเพื่อนสาว อะไรทุกอย่างที่คุณอยากจะให้เป็นเลย บางทีก็ช่วยช็อปปิ้ง หลายคู่ที่ตอนคบกันใหม่ๆ เราจะค่อนข้างหวาน แต่คู่เราไม่ใช่ ตอนคบกันใหม่ๆ คือ ดาร์กมาก ก็คนหัวดื้อทั้งคู่มา

คบกัน เพราะฉะนั้นมันเป็นตัวของตัวเองมากซะจนมันจึงชัดมาก แย่มาก โหดมาก มีทุกอย่างจะทะเลาะกันรูปแบบไหน มีหมดทุกอย่าง ยกเว้นลงไม้ลงมือแค่นั้นเอง”

ทำไมถึงยังไม่มีทายาท?

“เราตัดสินใจกันแล้วครับ ว่าเราจะไม่มี เป็นความจำยอมของทั้ง 2 ฝ่าย ผมเคารพภรรยาผมมาก แม้ว่าเขาจะเลือกอะไรก็ตาม อาจจะมีความรู้สึกนิดหนึ่ง เพราะผมอยากมีลูกมากที่สุดในวันนี้ ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย

พี่วู้ดดี้ ผมอยากมีลูกมาก แต่ในเมื่อคนที่ผมรักที่สุดในโลกใบนี้เขาต้องการแบบนั้น ผมก็สามารถหาความสุขไปเวย์อื่นได้แล้ว เราสามารถมีความสุขในมุมอื่นได้ เมื่อใดก็ตามที่เราอยากจะรีแลกซ์ตัวเอง เราจะอยู่กัน 2

ผัวเมียเราก็มีความสุขได้”

มีเคล็ดลับไหมว่าการคบกันมาหลายๆ ปีที่มันเป็นปึกแผ่นได้คืออะไร ?

“ผมว่าการที่เราให้เกียรติซึ่งกันและกัน และยอมรับซึ่งกันและกันเสมอ ไม่มีเคล็ดลับอะไรเลยครับ มีอย่างเดียวเลยว่า ถ้าคุณรักกันอยู่คุณต้องอภัยให้กัน ถ้าเมื่อใดก็ตามที่คุณยังให้อภัยกันอยู่ คุณก็สามารถอยู่ด้วยกัน

ได้ ผมว่าคนที่อยู่ด้วยกันยาวๆ มันไม่ใช่ว่าเรารักกันมากแค่ไหน วันนี้คุณยังอภัยให้กันอยู่หรือเปล่าแค่นั้นเองไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อย ถ้าคำว่าให้อภัยของคุณหมดลงแล้ว สิ่งที่ตามมามันก็จะเต็มไปด้วยอคติจริงๆ”

ทราบมาว่าในชีวิตของ ซี ศิวัฒน์ ร้องไห้ไม่กี่ครั้ง?

“3 ครั้งครับ ครั้งแรกที่ร้องไห้คือคุณพ่อเสีย ตอนนั้นอายุ 18 ร้องไห้จริงๆ ก็ตอนสุดท้ายที่ส่งคุณพ่อจะเผาแล้ว ครั้งที่ 2 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของผม ที่มันไม่สามารถบอกใครได้ในขณะนั้น ซึ่งไม่คิดว่า

มันจะเกิดขึ้นกับตัวผมเอง ผมจำได้ว่าผมทำอะไรไม่ถูกขับรถไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองขับรถไปไหน

ในขณะที่เราต้องการใครสักคนหนึ่งมาอยู่ข้างๆ อยู่ๆ ก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาเป็นเบอร์ที่ผมคุ้นเคย แต่เป็นเบอร์ที่ผมไม่เคยนึกถึงเลย ซึ่งเบอร์โทรศัพท์นั้นก็คือเบอร์คุณแม่ผม ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณแม่

มันคล้ายๆ เหมือนรถไฟเหาะ ขึ้นๆ ลงๆ คือสมัยตอนเด็กๆ ผมค่อนข้างมีปมในชีวิต

ผมค่อนข้างที่จะเกเรมากตอนเด็กๆ พี่น้องผมเป็นเด็กเรียนดีทุกคน แต่ผมเรียนแย่มาก อะไรที่เรามองว่าไม่ใช่ปุ๊บไม่เอาเลย ก็เลยจะออกแนวเป็นแกะดำในบ้าน แล้วผมก็จะถูกเปรียบเทียบอยู่เสมอกับพี่ชาย

จนมันเก็บไว้ แต่เรารู้ว่าตัวเรามีค่าพอ เราดีกว่านี้นะ”

ใครเป็นคนเปรียบเทียบตัวเรา?

“สมมติช่วงวันเช็งเม้ง ก็จะมานั่งล้อมโต๊ะกัน คุณป้าของผมก็จะอาต้นอ่า สอบได้ที่เท่าไร ในบรรดาพี่น้องก็จะไล่ลำดับกันที่ 1-4 กัน แล้วพอมาถึง อาซี ที่ 68 ครับ อะไรนะ แล้วทุกคนก็จะเงียบ แต่แม่ผมก็จะปกป้องผม

แล้วสุดท้ายแล้วก็จะมานั่งคุยกัน 2 คน ว่าทำไมไม่เรียนให้มันเหมือนพี่น้องคนอื่น ในขณะนั้นเราเป็นเด็ก เราไม่เข้าใจหรอกครับ เราก็จะมองว่าเราถูกเปรียบเทียบ ไม่เคยดูดีในสายตาเขา”

วันนั้นที่เขาโทรมา เขาบอกว่ายังไง?

“แล้ววันนั้นเขาโทรมาว่าฮัลโหลน้องซีทำอะไรอยู่ลูก ผมในตอนนั้นคือแย่มาก ยังไม่ทันได้พูดอะไร แล้วคุณแม่ผมคงจับอะไรบางอย่างได้ ท่านก็ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่าลูก มีอะไรไหม ในโมเมนต์นั้นนะครับพี่วู้ดดี้

ผมไม่สามารถพูดอะไรได้เลย มันพูดไม่ออก ผมพูดเสียงสั่นๆ ว่าหม่าม๊าเดี๋ยวขับรถก่อน เดี๋ยวโทรกลับ

หลังจากวางโทรศัพท์ผมร้องไห้หนักมาก ถามว่าทำไมร้องไห้หนักขนาดนั้นเพราะความรู้สึกมันมาหลายอย่าง ทั้งเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา และเสียใจกับสิ่งที่เราทำกับแม่เอาไว้ ในขณะที่เราต้องการใคร

ก็ได้สักคนหนึ่งแต่คนแรกที่โทรมากลับเป็นคนสุดท้ายที่เราคิดถึง จึงย้อนกลับไปในเหตุการณ์ว่าตลอดเวลาที่เราใช้ชีวิตมาเราทำอะไรอยู่

ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงสร้างปมในชีวิตตัวเอง สร้างกำแพงขึ้นมาแบ่งกั้นระหว่างแม่ตัวเองกับตัวเรา ทั้งๆ ที่คนคนนี้คือคนที่ให้เรา มีความสุขกับโลกใบนี้อะไรก็ตาม ถ้าไม่มีแม่เราคงไม่มีโอกาสเจอสิ่งเหล่านี้

แน่นอน แต่เรากลับไม่เห็นคุณค่าเขาเลย ผมเคยคิดว่าผมจะหาเงินให้ได้ 300 ล้าน โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอาเงินนี้ไปทำอะไร แล้วผมคิดว่าการให้เงินแม่ผมมันคือที่สุดของความเป็นลูกแล้ว จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย

คุณแม่ผมไม่เคยต้องการเงินจากผม เขาต้องการผม แต่ผมไม่เคยอยู่ในโมเมนต์นั้นให้เขาเลย

หลายครั้งที่คุณแม่ผมโทรมาหาผม ในขณะที่เรากำลังไล่ตามความฝันของตัวเอง อยากประสบความสำเร็จ ของฟรีไม่มีในโลกครับ มันลงแรงและมันต้องใช้เวลา แปลว่าเราเอาเวลาไปจ่ายให้ตรงนั้น และเราก็จะไม่มี

เวลาให้ครอบครัว เมื่อใดก็ตามที่เราเหนื่อยจากการทำตรงนั้นแล้ว เวลาแม่ผมไปเยี่ยม ผมไม่เคยมีเวลาให้แม่ผมเลย เจอเขาได้แค่สวัสดีและกอด แล้วก็ขึ้นบ้านนอน เป็นแบบนี้เป็นปีๆ จนจำไม่ได้แล้วว่า กอด

และหอมแม่ด้วยความรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

หรือบางครั้งที่แม่เขาโทรมาหาและถามว่าไปถ่ายละครที่ไหน สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเราคือ เราหงุดหงิดและรำคาญ เพราะเราคิดแต่ว่าทำไมจะต้องถาม ถ้าตอบไปเขาจะรู้มั้ย เพราะตอนนั้นสมองและใจเราคิดแต่ว่าจะทำ

ยังไงให้เราสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เป็นที่ยอมรับกับคนอื่นให้ได้ ซะจนห่างกับแม่ตัวเอง ด้วยเหตุการณ์ในวัยเด็กที่เราสร้างปมขึ้นมาเอง ด้วยเราไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าทำไมเราถึงอยู่ในโมเมนต์นั้น”

แล้วเรารู้สึกเมื่อไหร่?

“ในขณะที่เรามีเบอร์โทรศัพท์เป็นร้อยเป็นพันคนที่จะโทรหา แต่แม่ผมมีเบอร์เราคนเดียวที่จะโทรหา แล้วใน 1 วันมันมี 24 ชม. มันจะเป็นอะไรไปที่เราจะมอบเวลา 10-20 นาที หรือ 2-3 ชม. ให้คนกับคนที่เขารักเรา

มากที่สุด ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม โมเมนต์นั้นมันจึงทำให้ผมพบทางสว่างของชีวิต ว่าความฝันเป้าหมายที่สร้างไว้พุ่งชนกับมัน ผมดีใจแต่ผมไม่เคยมีความสุขกับมันเลย เพราะผมทำมันเพื่อตัวเอง ไม่ได้ใช้

ลมหายใจนี้เพื่อคนที่ผมรักหรือคนที่เขารักผมเลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันได้พิสูจน์แล้วว่า เราไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านั้นเลย

ต่อให้มีชื่อเสียง มีเงินมากมายแต่สุดท้ายคนที่เรารัก เขาไม่อยู่กับเรา มันไม่มีความหมายเลยแม้แต่นิดเดียว เราใช้ชีวิตผิดมาโดยตลอดเลย ผมเลยกลับบ้านคืนนั้นเลย แต่ขับให้ช้าที่สุด เพราะผมกลัวว่าผมจะตาย

ก่อนที่จะได้กลับไปกราบเท้าแม่ผม ผมตั้งปณิธานว่าจะต้องกราบเท้าคุณแม่ผมให้ได้ สุดท้ายผมก็มาถึงที่บ้านตี 2 เกือบตี 3 ผมก็เข้าไปเคาะประตูห้องแม่ผม ซึ่งเขาหลับอยู่ ผมก็เข้าไปกราบเท้าและบอกแม่ผมว่า

หลังจากนี้เป็นต้นไป น้องซีจะทำให้หม่าม๊ามีความสุขที่สุดเท่าที่น้องซีจะทำได้ ลูกคนเดิมมันได้ตายไปแล้ว นี่คือเป็นลูกคนใหม่ หลังจากนี้น้องซีจะบวชให้หม่าม๊านะครับ แม่ผมก็ร้องไห้ แล้วผมก็ได้มีโอกาสบวช
ให้แม่ หลังจากบวชประมาณปีครึ่งคุณแม่ผมก็เสีย ตอนที่แม่ผมเสียก็เป็นครั้งที่ 3 ในชีวิตที่ผมร้องไห้

วันนี้เรามีความฝันได้ เราดูแลฝันเราได้ แต่เราก็สามารถดูแลคนที่เรารักได้เช่นเดียวกัน สิ่งที่ผมทำ ผมดูแลความฝันผม สุจริตต่อความฝันผม และเซตมันเป็นเป้าหมาย แต่ผมลืมที่จะใช้ลมหายใจนี้เพื่อคนที่เรารัก

มันจึงทำให้ผมไม่มีความสุขเลย

ผมจะมีชื่อเสียงมีเงินทอง ผมภูมิใจกับมัน แต่ผมไม่ได้มีความสุขกับมัน เพราะวันนี้ผมไม่มีแม่ไม่มีพ่อให้ร่วมยินดีกับผมแล้ว ทุกครั้งที่เป็นวันพ่อ วันแม่ เป็นวันที่ผมไม่มีความสุขที่สุด แม้ว่าวันนี้ผมอภัยให้กับตัวเอง

แล้วก็ตาม แต่มันก็จะเป็นโมเมนต์ที่เราทำทุกวันนี้เพราะอยากให้เขาภาคภูมิใจ ให้เขาเห็นว่าพ่อและแม่เลี้ยงผมได้ดีที่สุดในโลก

แม้ว่าผมจะเกเรยังไงก็ตาม ผมอยากได้สิ่งไหนผมก็ได้เสมอ ฉะนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ยังกรุ่นในใจผมเสมอ แต่ในวันนี้ผมข้ามสิ่งเหล่านั้นมาได้แล้วนะครับ ผมให้อภัยตัวเองแล้ว อย่างน้อยๆ เลือดในตัวอีกครึ่งหนึ่ง

ของผม ก็ยังมีเลือดของพ่อแม่ผมอยู่ ผมเชื่อว่าท่านคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง และเชื่อว่าท่านจะภูมิใจในตัวผม ในสิ่งที่ผมเป็น

ผมอยากจะบอกทุกคนเลยในวันนี้ ใครก็ตามที่ยังมีคุณพ่อคุณแม่อยู่แม้วันนี้เราอาจจะไม่ได้ร่ำรวยกว่าใคร อาจไม่ได้มีทุกสิ่งทุกอย่าง ขอให้มีข้าวปลาทู 1 จาน แต่ทุกคนนั่งกินพร้อมหน้าพร้อมตาได้เห็นรอยยิ้มซึ่งกัน

และกัน ความสุขอยู่รอบกายเราครับ แค่นั้นมันก็มีความสุขแล้ว

จริงๆ แล้ว เพราะเป็นพี่วู้ดดี้ด้วยน่าจะเป็นคนแรกที่ผมพูดเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องครอบครัว เรื่องคุณแม่ผม ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย ซึ่งมันก็ดีถ้าผมจะเล่าเรื่องส่วนตัวของผม ให้ใครสักคนหนึ่งฟัง คนคนนั้นก็คงจะต้อง

เป็นพี่วู้ดดี้เท่านั้นที่ผมอยากจะเล่า ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ผมมั่นใจได้เลย การที่เราได้คุยกันวันนี้มันจะสร้างแรงกระเพื่อมอะไรบางอย่าง ไม่มากก็น้อยให้กับผู้คน”.