เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

                สื่อหนังสือชื่อดัง รายงาน ชายวัย 30 ปีในภาคกลางของประเทศจีน เพิ่งมีแฟนใหม่จึงมักแสดงความรักกันผ่านการมีเพศสัมพันธ์อย่างดุเดือด

อยู่มาวันหนึ่ง ระหว่างทำกิจกรรมบนเตียงอย่างเร่าร้อนกลางดึก ชายหลั่งน้ำอสุจิสีเหลืองอมเขียวออกไป ทำให้เขาตกใจกลัว ตื่นเช้ามารีบไปพบแพทย์

นพ.ชิว หงเจี๋ย ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะ ผู้อำนวยการศูนย์ตรวจสุขภาพโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอเชียให้เห็นในการให้สัมภาษณ์

กับ East Sen New Media ETtoday เผยว่า ชายวัย 30 ปีมีอาการปัสสาวะเจ็บปวดและ ปัสสาวะออกได้เพียง 10 – 20 ซีซี ที่สำคัญคือ มีการหลั่ง

น้ำอสุจิสีเหลืองอมเขียว ซึ่งทำให้เขาค่อนข้างกังวล

ในระหว่างการปรึกษาหารือภายใน สารคัดหลั่งสีเขียวอมเหลืองถูกขับออกอวัยวะเพศของผู้ป่วยและมีกลิ่นเหม็น เมื่อมองแวบแรก แพทย์สันนิษฐานว่า

เป็นการติดเชื้อโรคกามโรค ต่อมาเขาพบว่ามันคือการติดเชื้อแบคทีเรียสแตฟฟิลโลคอกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) ซึ่งเกิดจาก

พฤติกรรมทางเพศที่มากเกินไป นพ.ชิว หงเจี๋ย หัวเราะและพูดว่า “ไม่ใช่กามโรค และผมขอแสดงความยินดีด้วย”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

งานแบบนี้โดนใจเลย บริษัทเซ็กซ์ทอย รับสมัครพนักงานพาร์ทไทม์ ดูหนังสยิวได้เงินเดือนเป็นแสน

ฉาวสนั่น ครูสาวโดนแฉยับ มีเซ็กซ์กับนักเรียน ภาพหลุดว่อนโรงเรียน

นพ.ชิว หงเจี๋ย พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเมื่อเห็นครั้งแรก เขา “คิดว่ามันอาจเป็นกามโรค” ก่อนชายคนนั้นจะอธิบายว่าตนเองเพิ่งมีแฟนใหม่ เขาก็

ไม่สามารถหยุดความต้องการทางเพศและความบ้าคลั่งของเขาได้ ดังนั้น แบคทีเรียถูกนำเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากการทำความสะอาดไม่ดี

ทำให้เชื้อแบคทีเรียสแตฟฟิลโลคอกคัส ออเรียสเข้าไปในต่อมลูกหมากและท่อปัสสาวะ

โชคดีที่หลังการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ผู้ป่วยได้รับการรักษาให้หายขาดและไม่เกิดซ้ำอีก พร้อมแพทย์แนะนำเรื่องพฤติกรรมทางเพศ โดยควรชำระ

ร่างกายให้สะอาดทั้งก่อนและหลังและอย่าเพิ่งผล็อยหลับไปหลังจากทำเสร็จ

นอกจากนี้ นพ.ชิว หงเจี๋ย ยังอธิบายเพิ่มเติมว่าน้ำอสุจิที่หลั่งออกมาจะเป็นสีขาวและมีลักษณะโปร่งใส หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง หากมีความหนาผิดปกติ

มีลักษณะคล้ายน้ำนมหรือเป็นสีมุก แสดงว่ามีปัญหาในการติดเชื้อ ซึ่งการหลั่งของน้ำอสุจิสีเหลืองอมเขียว บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย

ซึ่งอาจเป็นเชื้อ Staphylococcus aureus หรือ Pseudomonas aeruginosa

อย่างไรก็ตาม ทางทีมข่าวสดจะขอไขข้อข้องใจกับเชื้อสแตฟฟิโลคอกคัส (Staphylococcus) โดยเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ในจมูก, ปาก, อวัยวะเพศ

หรือทวารหนัก ในบางครั้งเชื้อจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผิวหนังติดเชื้อเพียงเล็กน้อย, เกิดฝีหรือแผลพุพอง, อาหารเป็นพิษ แต่หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด

หัวใจ ข้อต่อหรือกระดูก อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

ตามรายงานของพบแพทย์ เชื้อสแตฟฟิโลคอกคัส สามารถอยู่บนร่างกายได้โดยไม่แสดงอาการผิดปกติหรืออาจแสดงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งผู้ป่วย

จะมีอาการแตกต่างกันไปตามตำแหน่งที่ติดเชื้อ ตั้งแต่อาการไม่รุนแรงไปจนถึงเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น อาหารเป็นพิษ ภาวะเลือดมีแบคทีเรีย โรคข้ออักเสบ

ผิวหนังติดเชื้อ ได้แก่ ฝีในต่อมไขมันหรือรูขุมขน มักพบบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรือก้น

สาเหตุของโรคติดเชื้อสแตฟฟิโลคอกคัส จะอยู่ตามร่างกายบริเวณผิวหนังหรือจมูกได้โดยไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ และติดอยู่ตามสิ่งของต่าง ๆ

เช่น เสื้อผ้า กลอนประตู ปลอกหมอนหรือผ้าขนหนู เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยอาจได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลตามร่างกาย, การใช้สารเสพติด, เล่นกีฬา,

ใช้เครื่องมือแพทย์, เตรียมอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ หรือการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ยา

ปฏิชีวนะ

การป้องกันโรคติดเชื้อสแตฟฟิโลคอกคัส

  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเปล่าเป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที เช็ดให้แห้งด้วยกระดาษทิชชู่และใช้กระดาษอีกแผ่นปิดก็อกน้ำ หรือล้างมือ ด้วยเจลแอลกอฮอล์หากไม่สะดวกในการล้างมือ โดยควรทำความสะอาดมือเป็นประจำ ทั้งก่อน หลัง หรือระหว่างการประกอบอาหาร การถือเนื้อดิบ การรับประทานอาหาร การเข้าห้องน้ำ และการสัมผัสกับสัตว์หรือมูลของสัตว์
  • รับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง รักษาอุณหภูมิทั้งร้อนและเย็นของอาหารให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เก็บอาหารเหลือเข้าตู้เย็นทันที ล้างเขียงด้วยสบู่และน้ำเปล่าหลังประกอบอาหาร
  • ควรทำความสะอาดบาดแผลด้วยสบู่และน้ำเปล่า เป่าให้แห้งก่อนจะปิดบาดแผลให้มิดชิดและดูแลให้เกิดความสะอาดจนกว่าแผลจะหาย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • เปลี่ยนผ้าอนามัยแบบสอดทุก ๆ 4–8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำและสลับใช้กับผ้าอนามัยแบบแผ่น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าขนหนู ผ้าปูที่นอน มีดโกน เสื้อผ้า หรืออุปกรณ์เล่นกีฬา เป็นต้น
  • ทำความสะอาดเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนด้วยน้ำร้อนร่วมกับสารฟอกขาว และทำให้ผ้าแห้งสนิทด้วยเครื่องอบผ้าหรือตากแดด
  • ในกรณีที่มีแผลแล้วมีอาการเจ็บและผิวหนังแดงอย่างผิดปกติ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากรอยแดงเกิดการแพร่กระจายควรไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาโดยเร็ว