เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

กรณี นายศิวกร สอิ้งรัมย์ อายุ 19 ปี นักเรียนของวิทยาลัยเทคโนโลยียานยนต์ บางนา ถูกชาย 2 คนใช้อาวุธปืนยิงเข้าบริเวณศีรษะเสียชีวิต บนถนนเสรีไทยขาออกใกล้แยกนิด้า แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น ความคืบหน้าวันที่ 21 ก.ย. ที่สน.ลาดพร้าว พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น พร้อมด้วย พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ผบก.น.4 แถลงข่าวจับกุม นายพิสุทธิ์ จานก่อบุญ อายุ 19 ปี นักเรียนเทคโนแห่งหนึ่ง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.2152 /2560 ลงวันที่ 20 ก.ย. 2560 และ นายแดง (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ลงวันที่ 20 ก.ย.2560 ในข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น, พยายามฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร” พร้อมด้วยของกลางรถจักรยานยนต์ ฮอนด้าดรีม สีเขียว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนที่ใช้ในการก่อเหตุ

พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า คนร้ายได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามรถผู้ตายด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นอริต่างสถาบัน เมื่อได้จังหวะประกบจึงลงจากรถใช้อาวุธปืนขู่บังคับ นายจีระศักดิ์ ซึ่งซ้อนมากับผู้ตาย ก่อนถามว่า “เรียนที่ไหน” นายจีระศักดิ์ พูดว่า “ไม่ได้เรียนเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด” หลังจากนั้นได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่ นายศิวกร 1 นัด  ก่อนล้มลงเสียชีวิตทันทีแล้วหลบหนีไป การสืบสวนทราบว่าคนร้าย คือ นายพิสุทธิ์ ซึ่งภายหลังก่อเหตุได้หลบหนีไปกบดานอยู่ที่คลอง 15 อ.องครักษ์ จ.นครนายก และ นายแดง (นามสมมุติ) ​ซึ่งหลบหนีไปอยู่ที่ตลาดเสรีไทย จึงรวบรวมหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับก่อนไปจับกุมตัวได้ในที่สุด

จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 2 ให้การรับสารภาพว่า นายพิสุทธิ์เป็นคนยิง เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรงเรียนคู่อริ จึงจะไปเอาหัวเข็มขัดไปสะสม ส่วนอาวุธปืนนั้นเพิ่งพกวันแรกเป็นของเพื่อนนายแดง และก่อเหตุเป็นครั้งแรก ต่อมาตำรวจคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปนำชี้จุดเกิดเหตุ จุดแรกบริเวณสี่แยกเสรีไทย ตรงข้ามสถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นจุดที่กลุ่มผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย จุดที่สองภายในซอยเสรีไทย 38 บริเวณท่าเรือคลองแสนแสบท้ายหมู่บ้านร่มไทรเป็นจุดที่คนร้ายทิ้งอาวุธปืนก่อนหลบหนีไป ใช้เวลาทำแผนนาน 30 นาที ก่อนคุมตัวผู้ต้องหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ที่มา – เดลินิวส์