เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ศบค.ตั้งเป้า 2 เดือน ผ่อนปรน-เปิดกิจกรรมทุกประเภท เผยเงื่อนไขหากยอดติดโควิดพุ่งอีกรอบ ต้องกลับมาเข้มงวดอีกครั้ง

วันที่ 30 เมษายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดหลังจากนี้ ว่า ยังมีมาตรการบางอย่างที่ต้องตึงไว้ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะประกาศต่อไปถึงวันที่ 31 พฤษภาคม และจะมีมาตรการบางอย่างที่หย่อนลงมาบ้างเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ผู้ป่วยรายใหม่ที่เหลือหลักหน่วย แต่การผ่อนคลายล้วนแล้วมีผลต่อตัวเลขการผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น เพราะการผ่อนคลายเกี่ยวข้องกับคนที่เป็นพาหะของโรค หากผ่อนมากไปการติดเชื้อจะเหมือนกับประเทศข้างเคียงที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจนต้องกลับมาตึงมาตรการ ดังนั้น แม้จะผ่อนแต่ก็ปรับได้

ทั้งนี้ มาตรการที่ยังตึงไว้นอกจากการการขยายเวลาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังมี 1.เรื่องมาตรการเคอร์ฟิว ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลา 22.00-04.00 น. 2.การเข้า-ออกราชอาณาจักรทั้งทางบก น้ำ อากาศ 3.จำกัดการการบินเข้า-ออกระหว่างประเทศ โดยอนุญาตเฉพาะสายการบินที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าและรับคนไทยกลับประเทศออกไปอีก 1 เดือน 4.งดหรือชะลอการข้ามจังหวัดโดยที่ไม่มีเหตุจำเป็น และ 5.ยึดแนวทางทำงานที่บ้านให้ได้ร้อยละ 50 และไม่ให้ประชาชนเข้าไปในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากเป็นการชั่วคราว

ส่วนมาตรการผ่อนปรนที่จะเกิดขึ้นนั้น จะมีการกำหนดมาตรฐานกลางของแต่ละกิจการ กิจกรรมที่จะให้ทุกพื้นที่ยึดถือปฏิบัติ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนดรายละเอียดแต่ละพื้นที่กันไป ซึ่งจะเข้มข้นกว่าได้ แต่จะน้อยกว่ามาตรฐานกลางไม่ได้ โดยแนวทางการดำเนินการจะคำนึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก และนำปัจจัยด้านสังคม และเศรษฐกิจมาประกอบการพิจารณา เพราะการติดต่อของโรคหน่วยงานด้านสาธารณสุขจะรู้ดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม มาตรการผ่อนปรนต่างๆ จะยึดถือแนวทางปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 1 ในข้อ  11 อาทิ การทำความสะอาดพื้นผิวของสถานที่ที่เกี่ยวข้องของการทำกิจกรรม การกำจัดขยะมูลฝอย การสวมหน้ากากอนามัยทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ การล้างมือ การเว้นระยะนั่งหรือยืน 1 เมตร ไม่ให้แออัด

ทั้งนี้ กลุ่มกิจกรรมแรกที่ได้รับความเห็นจาก ผอ.ศบค.และทีมงานมี 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.ตลาด ตลาดสด ตลาดนัด ตลาดน้ำ ตลาดชุมชน ถนนคนเดิน แผงลอย 2.ร้านจำหน่ายอาหาร อาหารทั่วไป ร้านเครื่องดื่ม ขนมหวาน ไอศกรีม (นอกห้างสรรพสินค้า) ร้านอาหารริมทาง รถเข็น หาบเร่ 3.กิจการค้าปลีกส่ง ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านสะดวกซื้อบริเวณพื้นที่นั่ง ยืน รับประทาน รถเร่หรือรถวิ่งขายสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าปลีกขนาดย่อย ร้านค้าปลีกชุมชน ร้านค้าปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม

4.กีฬา สันทนาการ กิจกรรมในสวนสาธารณะ ได้แก่ เดิน รำไทเก็ก สนามกีฬากลางแจ้งที่เป็นการออกกำลังกายโดยไม่ได้เล่นเป็นทีมและไม่ได้มีการแข่งขัน เทนนิส ยิงปืน นิงธนู จักรยาน กอล์ฟ และสนามซ้อม 5.ร้านตัดผม เสริมสวย เฉพาะตัด สระ ไดร์ 6.อื่นๆ ได้แก่ ร้านตัดขนสัตว์ ร้านรับเลี้ยงรับฝากสัตว์ สำหรับกิจกรรมใดที่ผู้ประกอบการปรับตัวได้ก็ให้เริ่มวันที่ 3 พฤษภาคมได้เลย

“เราจะใช้ช่วงเวลา 14 วันหลังจากนี้ คอยติดตาม ประเมินผลอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีตัวเลขคงที่ไปเรื่อยๆ แสดงว่าประชาชนให้ความร่วมมือดี รู้วิธีจัดการตัวเอง จัดกิจการ กิจกรรมได้ดี เราก็จะได้เลื่อนไปในกิจกรรมอื่นๆ ได้มากกว่านี้ แต่ถ้าใน 14 วันนี้ ตัวผู้เลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นสองหลัก สามหลัก ท่านก็ต้องยอมรับว่าเราจะต้องถอยหลงกลับมาตึงกิจการ กิจกรรม ซึ่งต้องถูกทบทวนใหม่หมด เราจะพยายามเดินไปด้วยกัน ทุกคนต้องมีส่วนร่วมหมด ตามหลักการเราต้องร่วมมือให้ได้มากกว่า 90% ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ 7 รายวันนี้เกิดจาการทำงานร่วมกันอย่างดีที่เชื่อว่า 100% ช่วงเวลานี้มีความสำคัญยิ่ง หลายประเทศเพลี่ยงพล้ำนิดเดียวจนกลับมาระบาดเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เราไม่ต้องการความเสี่ยงแม้แต่น้อย เป็นช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อที่สำคัญที่สุดของเรา ขอให้พวกเราประสบความสำเร็จเหมือน 1 เดือนที่ผ่านมา” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

เมื่อถามต่อว่าการประเมินระยะผ่อนปรน 14 วันต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ตามระยะเวลาที่นายกฯ ระบุ 4 ระยะ คือ ขยับทีละ 25 เปอร์เซ็นต์ 4 ครั้งก็จะครบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ระยะเวลาจะเท่าไร ก็ให้เวลาไว้  14 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาของโรค ที่จะดูได้ว่ามีการเพิ่มหรือลดในการติดเชื้อหรือไม่ ถ้าเป็นไปตามขั้นตอนก็จะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ซึ่งโรคจะหายใน 2 เดือนหรือไม่ ไม่ได้เกิดจากข้อมูลในประเทศอย่างเดียว แต่ต้องเอาตัวเลขจากประเทศต่างๆ รอบบ้านยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากก็อาจจะเป็นตัวแปรหนึ่งในการเข้ามาประเมินด้วย สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่เป็นคำตอบที่ชัดเจน

ส่วนกรณีที่มีการส่งต่อ ข้อมูลการพยากรณ์โลกของนักวิชาการสิงคโปร์ที่มีการใช้สถิติมาร้อยเรียงกันแล้ว ระบุว่า ประเทศไทยจะหมดเชื้อ 100 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่วันที่ 11 มิถุนายน 2563 ซึ่งเป็นข่าวดี แต่นั่นเป็นการใช้มูลทางสถิติในอดีตมาอธิบายเรื่องอนาคต แต่ถ้าวันนี้เราร่วมมือกันดีกว่านั้น เราอาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้ หรือหากวันนี้เราหย่อนกันมาก และพรุ่งนี้พบผู้ติดเชื้อเป็นสองหลัก สิ่งที่พูดวันนี้ก็จะกลายเป็นศูนย์ ไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังมีหวังที่เกิดจาดความร่วมมือของประชาชนทุกคน