เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

สรุปเส้นทางความขัดแย้งสหรัฐฯ-อิหร่านจากวันที่รักกัน…ถึงวันสังหารนายพล

—————
⚫️ ตอนที่ 1
จากเพื่อนรักกลายเป็นศัตรู
:
1- สหรัฐฯ กับอิหร่านเคยเป็นเพื่อนซี้กันมาก่อน ตอนนั้นสหรัฐฯ เข้าไปสัมปทานบ่อน้ำมันในอิหร่านจำนวนมาก และก็สหรัฐฯ นี่แหละที่เป็นผู้ริเริ่ม “โครงการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อสันติ” ให้อิหร่าน

2- จุดที่ทำให้เพื่อนซี้แตกหักกันเกิดขึ้นในปี 1979 ซึ่งมี “การปฏิวัติอิหร่าน” เกิดขึ้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบกษัตริย์เป็นระบอบสาธารณรัฐอิสลาม ทำให้ “พระเจ้าชาห์” กษัตริย์อิหร่านซึ่งสหรัฐฯ หนุนหลังอยู่ต้องลี้ภัยไปอยู่สหรัฐฯ

3- หลังการปฏิวัติ รัฐบาลอิหร่านก็เอาสัมปทานน้ำมันและกิจการต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ เคยกุมบังเหียนอยู่มาดูแลเอง ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐฯ ไม่พอใจเพราะเสียผลประโยชน์มหาศาล

4- วันที่ 4 พ.ย. 1979 นักศึกษาปฏิวัติมุสลิมชาวอิหร่านโกรธแค้นที่สหรัฐฯ ให้พระเจ้าชาห์ลี้ภัย พากันไปบุกสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเตหะราน แล้วจับเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯ 52 คนไว้เป็นตัวประกัน โดยกักตัวไว้นานถึง 444 วัน เพื่อกดดันสหรัฐฯ ให้ส่งตัวพระเจ้าชาห์กลับมารับโทษที่อิหร่าน

5- ตลอดเวลา 1 ปีกว่าที่เจ้าหน้าที่ถูกจับเป็นตัวประกัน สหรัฐฯ พยายามช่วยเหลือตลอดแต่ไม่สำเร็จ แถมยังสูญเสียกำลังคนด้วย อิหร่านทำให้มหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ อับอายไปทั่วโลก ด้วยการนำตัวประกันมาปิดตา แล้วเดินประจาน (มีภาพในคอมเมนท์)

6- แม้เมื่อพระเจ้าชาห์เสียชีวิตลงในปี 1980 อิหร่านก็ยังไม่ปล่อยตัวประกัน เหตุการณ์นั้นคลี่คลายลงได้ เพราะเอกอัครราชทูตเยอรมันตะวันตกประจำกรุงเตหะราน มาช่วยเจรจาลับให้ อิหร่านจึงยอมปล่อยตัวประกันเมื่อ 20 ม.ค. 1981

7- เหตุการณ์นี้เป็นจุดสะบั้นความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับอิหร่านอย่างแท้จริง นับแต่นั้นมาทั้งสองประเทศก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกันอีกเลย แถมฮึ่มฮั่มใส่กันตลอด เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนซี้มาเป็นคู่แค้นตลอดกาล

8- ต่อมาสหรัฐฯ อ้างว่าได้ข้อมูลมาว่าอิหร่านลักลอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จึงขอให้สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เข้าไปตรวจสอบ ก็พบว่าอิหร่านเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญที่สามารถต่อยอดไปสู่การสร้างอาวุธนิวเคลียร์ได้ ทำให้อิหร่านโดนสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และสหประชาชาติคว่ำบาตร

9- เรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นปัญหายืดเยื้อมานาน 13 ปีเต็ม กระทั่งในยุคที่ “บารัค โอบามา” เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ การเจรจาก็บรรลุผล นำไปสู่การลงนามข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านได้สำเร็จ

10- สำหรับข้อตกลงดังกล่าวมีรายละเอียดสำคัญว่า ไม่ให้อิหร่านใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นเวลา 15 ปี แล้วจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรให้ อิหร่านซึ่งทำมาหากินลำบากหลังถูกคว่ำบาตรก็ยอมลงนาม

11- แต่ต่อมาเมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์อ้างว่า ได้ข้อมูลมาว่าอิหร่านละเมิดข้อตกลง แอบไปพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อีก สหรัฐฯ จึงขอถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์

12- จากนั้นทรัมป์ก็ประกาศคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ พูดง่าย ๆ คือห้ามใครคบอิหร่าน บริษัทเอกชนทุกสัญชาติที่ไปร่วมสังฆกรรมกับอิหร่านก็จะโดนคว่ำบาตรไปด้วย

13- อิหร่านตอบโต้กลับด้วยการขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุช ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันดิบที่สำคัญของโลก ประเทศค้าน้ำมันต่าง ๆ ใช้เส้นทางนี้ลำเลียงน้ำมันไปขายให้ประเทศอื่น ๆ ถ้าอิหร่านปิดช่องแคบนี้จริง ทั้งโลกจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแน่นอน

14- ระหว่างนี้สหรัฐฯ กับอิหร่านก็พ่นไฟใส่กันเป็นระยะ เช่น อิหร่านระเบิดเรือน้ำมันซาอุฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ, อิหร่านยิงโดรนสอดแนมของสหรัฐฯ, สหรัฐฯ โจมตีค่ายกลุ่มติดอาวุธที่สนับสนุนอิหร่าน ฯลฯ

15- เมษายน 2562 ทรัมป์สั่งขึ้นบัญชีกองทัพของอิหร่านเป็น “องค์กรก่อการร้ายต่างแดน” อิหร่านก็ไม่ยอม ขึ้นบัญชีกองทัพของสหรัฐฯ เป็นกลุ่มก่อการร้ายด้วย เอาซี้!

—————
⚫️ ตอนที่ 2
“นายพลโซไลมานี” คือใคร?
:
16- “พลตรีกัสเซ็ม โซไลมานี” (Qassem Soleimani) อายุ 62 ปี เป็นบุคคลสำคัญสุด ๆ ของอิหร่าน เขาเป็นผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ (Quds Forces) ซึ่งเป็นกองกำลังลับที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอิหร่านและในตะวันออกกลาง

17- โซไลมานีได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของ “อะลี คอเมเนอี” (Ali Khamenei) ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน และโซไลมานีเองก็ถือเป็น “เบอร์ 2” ของอิหร่าน อำนาจในการตัดสินใจหลายอย่างขึ้นอยู่กับเขา จนถูกเรียกว่า “มันสมองของอิหร่าน” และเขายังเป็นขวัญใจชาวอิหร่านด้วย

18- อิทธิพลของโซไลมานีไม่ได้แผ่ขยายแค่ในอิหร่าน แต่หยั่งรากลึกในตะวันออกกลางด้วย นายพลคนนี้เป็นผู้ปฏิบัติการลับและอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างในตะวันออกกลาง เช่น แทรกแซงสงครามการเมืองซีเรีย เจรจาจัดตั้งรัฐบาลอิรัก ฯลฯ

19- แต่ในสายตาของหลาย ๆ ประเทศ นายพลโซไลมานีเป็นเสมือน ‘ตัวเชื่อม’ ของอิหร่านกับกลุ่มก่อการร้ายทั้งหลายในตะวันออกกลาง เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน ฝึกฝนและติดอาวุธให้ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่เชื่อว่าโซไลมานีอยู่เบื้องหลังการโจมตีและสังหารทหารสหรัฐฯ หลายครั้ง

20- วันที่ 31 ธ.ค. 62 ชาวอิรักซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการฝึกจากอิหร่าน บุกโจมตีสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงแบกแดด มีการขว้างปาก้อนหินและเผารั้ว แล้วยังเขียนบนผนังว่า “Soliemani is our leader” (โซไลมานีคือผู้นำของเรา)

—————
⚫️ ตอนที่ 3
วันสังหารนายพลโซไลมานี
:
21- เช้าวันที่ 3 ม.ค. 63 ที่ประเทศอิรัก ขณะนายพลโซไลมานีกำลังนั่งรถหุ้มเกราะไปสนามบินแบกแดด โดรนโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ก็ยิงถล่มขบวนรถของเขาด้วยจรวดหลายลูก ส่งผลให้นายพลโซไลมานีเสียชีวิตทันที และมีคนอื่นเสียชีวิตด้วยอีก 7 คน

22- กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่า ปฏิบัติการนี้เป็นไปตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ที่ปฏิบัติงานอยู่ในต่างประเทศ เนื่องจากโซไลมานีวางแผนโจมตีนักการทูตสหรัฐฯ ในอิรัก

—————
⚫️ ตอนที่ 4
สถานการณ์หลังการเสียชีวิตของโซไลมานี
:
23- อิหร่านประกาศไว้อาลัยทั่วประเทศ 3 วัน ในขณะที่ผู้นำสูงสุดของอิหร่านประกาศว่าจะแก้แค้นอย่างสาสม

24- อิหร่านแต่งตั้ง “พลตรีเอสเมล กานี” (Esmail Ghaani) ขึ้นมารับตำแหน่งแทน และนายพลคนใหม่ประกาศว่า อีกไม่นานจะได้เห็นศพของอเมริกันในตะวันออกกลาง

25- ชาวอิหร่านผู้โกรธแค้นนับหมื่นคน พากันออกมาชุมนุมในกรุงเตหะรานและเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศเพื่อประท้วงสหรัฐฯ

26- สหรัฐฯ เกรงว่าทหารสหรัฐฯ 5,000 นายในอิรักอาจตกเป็นเป้าโจมตี จึงส่งกำลังเสริมไปอีก 3,000 นาย พร้อมเตือนชาวอเมริกันให้รีบออกจากอิรัก

27- หลาย ๆ ฝ่าย อาทิ ยูเอ็น สหภาพยุโรป สวิตเซอร์แลนด์ อียิปต์ จอร์แดน บาห์เรน ตุรกี ออกมาเรียกร้องให้ผู้นำของประเทศคู่กรณีใช้ความอดกลั้น และถอยห่างจากความรุนแรง

28- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้แฮชแท็ก #WWIII (หมายถึงสงครามโลกครั้งที่ 3) ติดเทรนด์ทวิตเตอร์โลกทันที

29 – อิหร่านประกาศตั้งค่าหัวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 2,400 ล้านบาท และขู่จะบุกทำลายทำเนียบขาว รวมถึงจะไม่ทำตามข้อกำหนดจำกัดการคัดแยกนิวเคลียร์อีกต่อไป
:
ที่มา #poetryofbitch
#ลำนำเดอะบิทช์