เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ที่กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยวท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนายการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พ.ต.อ.สุรชัช สุวรรณศรี ผกก.3 บก.ทท.1 และนายสมชัย ราชแก้ว หัวหน้าฝ่ายตรวจการกรมการขนส่งทางบก ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายเสวย พุฒิสาร อายุ 57 ปี คนขับรถแท็กซี่สาธารณะสีชมพู ทะเบียน ทษ 407 กรุงเทพมหานคร ผู้ต้องหาในคดีแก้ไขดัดแปลงมาตรมิเตอร์ และเรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง

นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับการร้องเรียนจาก MR.JAMES ALEXANDER LOAKES นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ว่า ถูกแท็กซี่สาธารณะเรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตรา MR.JAMES ALEXANDER LOAKES ได้เล่าว่า ได้โดยสารรถแท็กซี่สาธารณะจากสนามบินสุวรรณภูมิ ช่องโดยสารที่ 44 เพื่อเดินทางไปยังถนนข้าวสาร กรุงเทพมหานคร ซึ่งคนขับได้กดมิเตอร์โดยสารแต่เมื่อถึงที่หมาย ค่าโดยสารที่ปรากฏบนมิเตอร์เป็นจำนวนเงิน 3,985 บาท ตนจึงเชื่อว่าจะถูกหลอกจึงได้เข้าร้องเรียน

ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกับศูนย์รถแท็กซี่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จนทราบว่าผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันดังกล่าวคือ นายเสวย พุฒิสารอายุ57 ปี ขับขี่รถแท็กซี่สาธารณะ สีชมพู ทะเบียน ทษ 407 กรุงเทพมหานคร ต่อมาเจ้าหน้าที่สามารถติดตามตัวนายเสวย ผู้ขับขี่รถแท็กซี่คันดังกล่าว ได้และจากการตรวจสอบมิเตอร์ภายในรถพบว่ามีการดัดแปลงมาตรวัดมิเตอร์ และติดตั้งวงจรไฟฟ้าสวิตซ์ลับบริเวณคันเกียร์ของรถแท็กซี่คันดังกล่าว เพื่อเพิ่มราคาค่าโดยสารโดยผิดกฎหมาย

จากการสอบสวนนายเสวย  ผู้ต้องหา ได้ให้การรับสารภาพว่า ได้มีการดัดแปลงมาตรวัดมิเตอร์เพื่อให้ค่าโดยสารเพิ่มขึ้นจริง โดยอ้างว่าจำมาจากคนขับในวงการแท็กซี่และลงมือดัดแปลด้วยตัวเอง เบื้องต้นทางสนามบินสุวรรณภูมิ ได้ทำการเพิกถอนใบอนุญาตเข้ามารับส่งผู้โดยสารภายในสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง

ขณะที่นายสมชัย ราชแก้ว หัวหน้าฝ่ายตรวจการกรมการขนส่งทางบก เรียกตัวไปทำการอบรมจำนวน 3 ชั่วโมง พร้อมทั้งสั่งปรับในข้อหาแก้ไขดัดแปลงอุปกรณ์ส่วนควบ (ดัดแปลงมาตรมิเตอร์) โดยจะมีโทษปรับสูงสุด 2,000 บาท และข้อหาเรียกเก็บค่าโดยสารหรือค่าบริการเกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งมีโทษปรับสูงสุด 5,000 บาท ตาม พรบ.รถยนต์ พ.ศ.2522 เบื้องต้นกรมการขนส่งทางบก ได้สั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้ต้องหาเป็นเวลา 3 เดือน