เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

กรณี พ.ต.อ.สุทธินันทร์ คงแช่มดี ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ นำกำลังจับ นายณัฐพล ถาวรพิบูลย์ อายุ 27 ปี เจ้าของสถาบันกวดวิชาบ้านพี่ณัฐ ภายในหมู่บ้านไอซ์แลนด์ 6 ต.วัดไทร อ.เมือง จ.นครสวรรค์ โดยร่วมกันทำร้าย ด.ช.ฐปกร หรือน้องชายแดน ทรัพย์สิน อายุ 14 ปี ที่เข้าไปศึกษาและเก็บตัวอยู่ที่สถาบันดังกล่าว จนเสียชีวิต รวมถึง น.ส.พีรญา พละแสน อายุ 25 ปี ภรรยา และน.ส.นงลักษณ์ พละแสน อายุ 54 ปี แม่ยาย ข้อหาร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ก่อนนำตัวนายณัฐพลมาสอบสวนยัง สภ.เมืองนครสวรรค์ โดยทั้งหมดให้การปฏิเสธ และถูกควบคุมตัวไว้ในเรือนจำจังหวัดนครสวรรค์
ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

 

วันที่ 20 มิ.ย. ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ พนักงานสอบสวนยังคงประชุม เพื่อสรุปสำนวนการสอบสวน และนำเอาพยานหลักฐานมาสรุปประกอบสำนวน โดยมี พ.ต.อ.สุทธินันท์ คงแช่มดี ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ เรียกประชุมทีมสืบสวน โดยนำหลักฐานไม้เบสบอล ทั้งหมด 8 อัน ที่พบในบริเวณใต้สะพานข้ามแม่น้ำปิง พื้นที่ ต.วัดไทร อ.เมือง จ.นครสวรรค์ นำไปส่งตรวจพิสูจน์ ซึ่งพนักงานสอบสวนนำมาประกอบสำนวนน่าจะเป็นหลักฐานสำคัญในคดีนี้ด้วย

โดยไม้เบสบอลทั้งหมดนี้ มีรายงานจากแหล่งข่าวว่า มีการนำไปทิ้งถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกหลังจากที่มีการทำร้ายน้องชายแดนจนหัวแตก แขนหักแล้ว นายณัฐพลจึงนำไม้ที่ใช้ทำร้ายไปทิ้งก่อน 4 อัน จนกระทั่งเกิดการทำร้ายน้องชายแดนอีกครั้ง โดยครั้งนี้รุนแรงจนเกิดข่าวน้องชายแดนเสียชีวิต และตัวนายณัฐพล ซึ่งเป็นเจ้าของสถาบันเข้าไปมีส่วนพัวพัน จึงให้เด็กชายที่เป็นลูกสมุนนำไม้เบสบอลที่เหลือทั้งไม้ที่ใช้ตี และไม้ที่ยังใหม่ไม่ได้ใช้ นำไปทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน โดยมีนายณัฐพลเป็นผู้ขับรถพาไปทิ้งบริเวณใต้สะพานแม่น้ำปิง ซึ่งเป็นจุดที่ไม่มีกล้องวงจรปิด และไม่มีบ้านคนพักอาศัยอยู่ในละแวกนั้น

รายงานข่าวเผยด้วยว่า การที่นายณัฐพลต้องนำไม้เบสบอล หรืออีกชื่อที่คนในสถาบันจะเรียกว่า “หมอน” ที่มีอยู่ในบ้านทั้งหมดเอาไปทิ้งนั้น เนื่องเจ้าตัวพอจะรู้หลักการทำงานสืบสวนสอบสวนของตำรวจมาบ้าง หากเหลือเก็บไม้เบสบอลเอาไว้ จะเป็นหลักฐานที่จะสามารถเชื่อมโยงไปถึงประเด็นการใช้ความรุนแรงในสถาบันได้ จึงต้องทำรายหลักฐานสำคัญดังกล่าว แต่สุดท้ายทางเจ้าหน้าที่ชุดค้นหาก็ติดตามหาวัตถุพยานสำคัญจนพบ พร้อมกับมีหลักฐานเป็นป้ายชื่อนายณัฐพล ติดไว้ที่ถุงห่อไม้เบสบอลด้วย

ส่วนประเด็นร่องรอยอวัยวะที่มีรอยไหม้นั้น แหล่งข่าวเผย เป็นการสั่งการจากนายณัฐพลไปยังเด็กชายลูกสมุนระดับหัวหน้า ให้ไปบังคับให้เพื่อนนักเรียนที่เรียนอยู่ด้วยกัน จับขึงน้องชายแดนไม่ให้ดิ้นหลบหนี จากนั้น จึงจุดไฟแช็คลนอวัยวะเพศ ต่อหน้าเพื่อนๆ ที่ร่วมจับน้องชายแดน ทั้งที่ไม่เต็มใจจะร่วมกันทำ แต่เพราะโดนบังคับ หากไม่ร่วมมือก็จะถูกหาเรื่องรุมทำร้าย

ซึ่งสถาบันกวดวิชาเตรียมทหารแห่งนี้ เด็กหลายรายบอกว่า เมื่อเข้าไปอยู่แล้ว ก็ไม่ต่างอะไรไปจากสถานที่ถูกจองจำ เพราะเด็กนักเรียนที่เข้ามาเรียนจะถูกยึดโทรศัพท์ทั้งหมด แม้แต่ผู้ปกครองจะมาเยี่ยมหา ก็ต้องนัดวันกับทางเจ้าของสถาบันล่วงหน้าก่อน จึงจะกำหนดวันพบเจอลูกได้

ที่ผ่านมาก็มักใช้ความรุนแรงกับเด็กนักเรียนที่มาเก็บตัวเพื่อศึกษาอยู่ตลอด และในทุกๆ สัปดาห์ ทางเจ้าของสถาบันซึ่งคลั่งไสยศาสตร์ อวดอ้างว่าตนคือร่างทรงเทพ จะจัดให้เป็นวันล้างบาป โดยการให้เด็กนักเรียนแต่ละคนถือไม้เบสบอลมารวมตัวกัน หากเด็กในกลุ่มรายไหนทำความผิด หรือในกลุ่มไม่ชอบใครคนไหน ก็จะให้เด็กใช้ไม้รุมทุบดีเด็กรายนั้น เพื่อเป็นการชำระบาป ชนิดที่ว่า ยิ่งแค้นมาก เด็กที่โดนก็จะยิ่งเจ็บมาก เพราะทางเจ้าของสถาบันจะสั่งให้ทำอย่างเต็มที่

 

 

ซึ่งในรายน้องชายแดน ก็เคยถูกรุมทุบตีในวันล้างบาปมาแล้วหลายครั้ง จนกระทั่งมาถูกรุมทุบตีจนหัวแตกแขนหัก รวมไปถึงก่อนวันที่น้องชายแดนจะเสียชีวิต ก็ถูกรุมทุบตีอีก เพียงเพราะไปขอโทรศัพท์จากแม่ยาย เพื่อจะติดต่อกับทางบ้าน แต่ไม่ได้ จึงทำให้น้องชายแดนหลุดสบถคำหยาบออกมา จนนำไปสู่การร่วมกันทำร้ายน้องชายแดนถึงขั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ซึ่งในเหตุการณ์นี้นายณัฐพลยอมรับเองด้วยว่า ใช้ไม้เบสบอลตีน้องชายแดนไปกว่า 20 ครั้ง โทษฐานไปเถียงว่าแม่ยายของเขาด้วย

“ที่ผ่านมาแก๊งหัวโจกรวมถึงเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ มักจะถูกนายณัฐพลข่มขู่จะทำร้ายต่างๆ นานา เพื่อไม่ให้นำเรื่องที่เกิดขึ้นภายในสถาบันไปบอกใคร จนทำให้เด็กเกิดความหวาดกลัวไม่กล้าให้การตำรวจ แต่สุดท้าย ทางเจ้าหน้าที่ชุดสอบสวนคดีเกลี้ยกล่อมเด็กที่เป็นพยานทั้งหมด จนยอมเปิดปากเล่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นภายในสถาบันแห่งนี้ทั้งหมด รวมถึงครั้งสุดท้าย พบเห็นชายแดนถูกทำร้ายจนเลือดนองพื้น ก่อนจะหามน้องชายแดนขึ้นรถส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งมีความสอดคล้องกับวันที่ตรวจค้นสถาบันเพื่อหาหลักฐาน แล้วพบคราบเลือดอยู่ภายในบ้าน และที่รถเก๋งของนายณัฐพล จนนำมาสู่การออกหมายจับและดำเนินคดีครอบครัวครูโรงเรียนกวดวิชาโหดในครั้งนี้ ซึ่งทั้งนักเรียนหัวโจกและเด็กนักเรียนที่อยู่ร่วมในสถาบันเดียวกัน จะถูกกันไว้เป็นพยานในคดีนี้” แหล่งข่าว ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับประวัตินายณัฐพล ถาวรพิบูลย์ เจ้าของสถาบันกวดวิชา เตรียมทหารที่ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันทำร้ายคนอื่นถึงแก่ความตาย จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนชื่อดังของ จ.นครสวรรค์ จากนั้นสอบติดเป็นนักเรียนนายเรืออากาศ แต่เรียนไม่จบหลักสูตร เพราะเจ้าตัวขอลาออกขณะกำลังศึกษาปีที่ 2 โดยหลังจากลาออกมาแล้ว เมื่อปี 2560 นายณัฐพลจึงผันตัวเองมาเปิดสถาบันกวดวิชาทหาร โดยเริ่มแรกตั้งสถาบันอยู่ภายในเขตเศรษฐกิจปากน้ำโพ ก่อนจะย้ายไปตั้งที่ใหม่ ภายในหมู่บ้านไอซ์แลนด์ 6 เมื่อเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา

ซึ่งในช่วงที่ที่เปิดสถาบันนี้ นายณัฐพล สร้างความน่าเชื่อถือ ทั้งการแต่งกายที่มักจะแต่งกายให้คล้ายทหาร ควบคู่ไปกับหลักสูตรการสอน ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ รวมถึงป้ายโฆษณาที่ติดประกาศไว้ทั่วหมู่บ้าน จึงทำให้ผู้ปกครองหลายรายเกิดความสนใจพาบุตรหลานมาสมัครเรียน แต่จากการตรวจสอบข้อมูลนี้ พบว่าเด็กที่มาเรียนกับสถาบันแห่งนี้ สอบติดโรงเรียนเตรียมทหารแค่ 2 รายเท่านั้น และเด็กทั้ง 2 คนนี้ เป็นคนที่เรียนดีอยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ นายอรรถพร สีหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมที่ห้องประชุม 301 ศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อวางมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเช่นเดียวกับสถาบันกวดวิชาเตรียมทหาร “กวดวิชาบ้านพี่ณัฐ” ซึ่งในห้องประชุมกลุ่มโรงเรียนเอกชนนอกระบบ จ.นครสวรรค์ ชี้แจงให้ข้อมูลว่าว่าสถาบันที่เป็นข่าวนั้น ไม่ได้ขอจดทะเบียนจัดตั้งโรงเรียนอย่างถูกต้องกับกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด (สนง.ศธจ.) หรือเรียกว่าโรงเรียนเถื่อน จึงไม่มีระบบประกันคุณภาพการตรวจนิเทศจาก ศธจ. แต่อย่างใด ซึ่งก็เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สภ.เมืองนครสวรรค์ ไว้แล้ว

โดยในข้อมูลเบื้องต้น พบว่าในจังหวัดนครสวรรค์ยังมีหลายที่ที่เปิดสอนกวดวิชา ภาษาต่างประเทศ ดนตรี ศิลปะ และเก็บค่าเรียนโดยไม่ได้ขออนุญาต จึงขอแนะนำให้โรงเรียนหรือสถาบันเหล่านั้น รีบติดต่อสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อขออนุญาตจัดตั้งโรงเรียนให้ถูกต้องต่อไป ส่วนบทลงโทษโรงเรียนเถื่อน มีทั้งโทษจำและปรับอันเป็นโทษทางอาญา

ซึ่งหากผู้เปิดโรงเรียนเถื่อนเป็นข้าราชการด้วย ก็จะมีโทษทางวินัย และหากเป็นข้าราชการครูก็จะมีผลถึงยึดใบประกอบวิชาชีพครูเลยทีเดียว ซึ่งทาง สพป.นว. และ สพม.42 เคยมีหนังสือเวียนแจ้งข้าราชการครูในสังกัดให้ทราบแล้วว่า การปิดสอนเองที่มีผู้เรียนเกิน 7 คน (นับทุกรอบ) มีความผิดตามกฎหมายและไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ รวมถึงภาษีป้ายด้วย