เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

สาวไทยพร้อมลูกสาวลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ชีวิตพลิกรวยในพริบตา หลังตกทุกข์อยู่อย่างลำบากในฮาวาย เมื่อสามีชาวอเมริกันเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับขณะลูกอายุแค่ 5 ขวบ ถึงขั้นต้องขอข้าวจากโบสถ์มาประทังชีวิตและดิ้นรนทำงานหาเงินมาจุนเจือ จนลูกสาวตัดสินใจไม่เรียนต่อเพื่อมาช่วยแม่ทำงาน กระทั่งโตเป็นสาว เพิ่งรู้ครอบครัวของพ่อร่ำรวยมหาศาล เมื่อย่าทิ้ง มรดกเป็นหุ้นในบ่อน้ำมันไว้ให้หลานๆ ล่าสุดตัดสินใจเตรียมกลับมาปักหลักอยู่ในไทยและเรียนต่อเพื่อสานธุรกิจในอนาคต

สองแม่ลูกสาวไทย จู่ๆก็กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน หลังแม่สามีชาวอเมริกันแบ่งมรดกหุ้นในบ่อน้ำมันที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ได้รับการเปิดเผยจากนางประคอง กิบสัน อายุ 57 ปี ชาวสุพรรณบุรี และ น.ส.เอริกา จัสมิน บอลด์วิน กิบสัน อายุ 22 ปี ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ลูกสาว หลังกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกา รับมรดกมูลค่า 1,000 ล้านบาท ของนายเคนดริก บอลด์วิน กิบสัน ชาวอเมริกัน ผู้เป็นสามี ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง โดยนางประคอง กล่าวความหลังให้ฟังว่า เมื่อปี 2536 ตนเปิดร้านเสริมสวยอยู่ในซอยสบายใจ ย่านสุทธิสาร กทม. ได้รู้จักกับนายเคนดริก ที่เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทย เช่าห้องพักอยู่ในซอยสบายใจโดยบังเอิญ ก่อนจะติดต่อไปมาหาสู่กันตลอด จนได้แต่งงานจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จากนั้นตนย้ายไปอยู่กับนายเคนดริก ที่เกาะคาไว รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีลูกด้วยกัน 1 คน คือ น.ส.เอริกา จัสมิน บอลด์วิน กิบสัน ขณะนั้นตนเป็นแม่บ้านมีหน้าที่ดูแลงานบ้านเลี้ยงลูก สามีไม่ได้ทำงานอะไร เพราะครอบครัวได้รับเงินจากนางเดกซ์ตรา บอลด์วิน แม่ของนายเคนดริก ที่อาศัยอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย มีอาชีพเป็นนักลงทุนเล่นหุ้น เดือนละ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

นางประคองกล่าวอีกว่า กระทั่งปี 2543 นายเคนดริกเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับด้วยวัย 67 ปีตนและลูกถูกตัดขาดการติดต่อจากครอบครัวบอลด์วิน กิบสัน มีเงินติดตัวทั้งหมดไม่ถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องอาศัยขอข้าวจากโบสถ์คริสต์ละแวกบ้านประทังชีวิต 10 วัน ตนต้องทำเอกสารขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ได้เงินมา 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และนำมาเป็นทุนนำเข้าสินค้าประเภทไม้แกะสลักจากเมืองไทยนำไปขายในเกาะคาไว แต่ประสบสภาวะขาดทุน จึงเปลี่ยนมาเปิดร้านอาหารไทย ชื่อกิ่งบัว ไทยเรสเตอรองส์ ที่เกาะคาไว กระทั่งปี 2553 นางเดกซ์ตรา บอลด์วิน แม่ของสามี เสียชีวิต และต่อมามีหนังสือจากทนายความตระกูล บอลด์วิน กิบสัน ระบุให้ น.ส.เอริกา จัสมิน บอลด์วิน กิบสัน รับมรดกของนางเดกซ์ตรา บอลด์วิน ผู้เป็นทายาทในหุ้นสัมปทานที่รัฐบาลขุดเจาะน้ำมันในที่ดินในรัฐแคลิฟอร์เนีย ของตระกูลบอลด์วิน กิบสัน แบ่งออกเป็น 1.นางบอนนี่ บอลด์วิน กิบสัน พี่สาวของนายเคนดริก ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ 2.น.ส.เฮเธอร์ บอลด์วิน กิบสัน 3.น.ส.มาร์โก บอลด์วิน กิบสัน ทั้งสองคนเป็นลูกสาวนายเคนดริก แต่ต่างมารดา ได้คนละ 16.3 เปอร์เซ็นต์ 4.น.ส.เอริกา จัสมิน บอลด์วิน กิบสัน 16.3 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงหุ้นและพันธบัตรหลักทรัพย์ และในต้นปี 2560 ทนายความได้ให้ตนและลูกสาวนำเอกสารไปรับมรดกดังกล่าวมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท เมื่อรับมรดกเสร็จ ได้กลับมาประเทศไทยเพื่อเยี่ยมบ้านเกิด และจะเดินสายทำบุญตามวัดต่างๆ ก่อนหาลู่ทางทำธุรกิจ เพื่อพาลูกสาวกลับมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวร

ด้าน น.ส.เอริกา จัสมิน บอลด์วิน กิบสัน อายุ 22 ปี กล่าวว่า หลังจากคุณพ่อเสียชีวิตลงจากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ ช่วงนั้นตนมีอายุ 5 ขวบ เนื่องจากไม่ได้ทำประกันไว้ เงินทั้งหมดของครอบครัวได้ใช้ไปกับการรักษาจนหมด ทำให้ครอบครัวต้องตกอับลำบากอย่างหนัก ในช่วงอายุ 12 ปี คุณแม่เปิดร้านอาหารไทย “กิ่งบัว” เมื่อตนจบมัธยมปลายเมื่ออายุได้ 18 ปี ตัดสินใจหยุดเรียน เพื่อมาช่วยเสิร์ฟอาหาร ทำอาหาร จัดซื้อวัตถุดิบ และบริหารจัดการธุรกิจร้านอาหารด้วยตัวเอง กระทั่งปี 2560 ทนายความประจำตระกูลบอลด์วิน กิบสัน มีเอกสารว่าตนได้รับมรดกมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท รู้สึกตกใจมาก เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทราบมาก่อนว่าตระกูลของคุณพ่อจะรวยมหาศาลขนาดนี้ และคุณพ่อไม่เคยพูดหรือบอกเล่าคุณแม่เลย เพราะเกรงว่าหากคนทราบว่ามีฐานะร่ำรวยครอบครัวจะไม่ปลอดภัย

น.ส.เอริกา จัสมิน กล่าวอีกว่า ส่วนมรดกที่ต้องรับช่วงต่อการสืบทอดที่ตนไม่เคยได้รู้มาก่อน คือหุ้นและพันธบัตรหลักทรัพย์ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน และจำนวนเปอร์เซ็นต์ของธุรกิจน้ำมันที่ครอบครัวเป็นผู้ถือครองร้อยละ 16.3 คิดเป็นเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี หลังจากนี้ตัดสินใจกลับมาลงเรียนมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เพื่อนำความรู้มาสานต่อธุรกิจในอนาคต และอยากให้คุณแม่ได้พักผ่อน จึงได้เสนอให้ปิดธุรกิจร้านอาหารที่ฮาวาย รวมทั้งกลับมาประเทศไทย เพื่อทำธุรกิจน้ำดื่มเล็กๆใน จ.กาญจนบุรี

ที่มา – thairath