เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ฝรั่งเศส เด็ดขาดกว่า ซามูเอล อุมติตี้ โฉบโขกเสาแรกเป็นประตูชัยให้ “ตราไก่” บดเอาชนะ เบลเยียม ไปได้แบบหวุดหวิด 1-0 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศได้เป็นทีมแรก โดยรอพบกับผู้ชนะระหว่าง อังกฤษ หรือโครเอเชีย ในวันอาทิตย์ที่ 15 ก.ค.นี้ ส่วนเบลเยียมชอกช้ำชวดโอกาสเข้าชิงดำหนแรก ต้องไปลุ้นอันดับ 3 ปลอบใจในวันเสาร์นี้แทน

 

 

สนาม :   เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก สเตเดี้ยม

ฝรั่งเศส หมายมั่นปั้นมือหวังจะทะลุเข้ารอบชิงให้ได้โดยจัดหนักส่ง อองตวน กรีซมันน์, คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ และปอล ป็อกบา สามแกนหลักหวังกระซวก เบลเยียมเต็มสูบ ขณะที่ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” งานนี้มาเต็มขนแข้งชั้นนำพรสวรรค์สูง นำโดย เอแด็น อาซาร์ , เควิน เดอ บรอยน์ และ โรเมลู ลูกากู ที่พร้อมตะบันตาข่ายทัพ “ตราไก่” เช่นกัน

 

เริ่มเกมฝรั่งเศสมาแรงไม่มีเม้มเมื่อ เอ็มบั๊ปเป้ ใช้ความเร็วกระชากไปทางฝั่งขวา และผ่านบอลเรียดเข้ามาแต่น่าเสียดายบอลไม่ถึงเท้าของ กรีซมันน์ จากนั้น น. 4 เดอ บรอยน์ ลากบอลตะลุยไปข้างหน้า และผ่านบอลให้ นาเซอร์ ชาดลี่ ทางฝั่งขวา เขาเปิดบอลไม่ดีทำให้พลาดโอกาสยิงประตูไปอย่างน่าเสียดาย จากนั้นอีกสองนาทีด้วยความเร็วของ อาซาร์ ที่กระชากบอลไปทางฝั่งซ้ายผ่าน เบนฌาแม็ง ปาวาร์ แต่ส่งเข้ากลางไม่ดีทำให้โดนตัดทิ้งไป หลังจากนั้นทั้งสองทีมเปิดฉากแหลกหมัดกันแบบไม่เกรงกลัว ใน น. 11 ฝรั่งเศสมีเสียวเมื่อ เอ็มบั๊ปเป้ ผ่านบอลเข้ามาในเขตโทษให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ แต่ แยน แฟร์ตองเก้น แย่งบอลไปได้ก่อน

น. 13 เป็นอีกครั้งที่ทัพ “เลส์ เบลอส์” ได้ลุ้นทำประตูเมื่อ ป็อกบา แทงบอลยาวทะลุให้ เอ็มบั๊ปเป้ ที่ใช้ความเร็ววิ่งแซง แฟร์ตองเก้ แต่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ อ่านเกมขาดวิ่งออกมารับบอลได้ก่อน จากนั้นใน น. 16 มาถึงคิวของ เบลเยียม ที่ได้ลุ้นจากจังหวะที่ เดอ บรอยน์ ชิพบอลให้ อาซาร์ ที่จัดการตะบันเต็มข้อแต่มุมยิงค่อนข้างยากทำให้บอลพุ่งเรียดออกเสาไกลไปอย่างน่าเสียดาย ต่อมาใน น. 18 แบลส มาตุยดี้ มีโอกาสตะบันไกลระยะ 25 หลา แต่บอลเข้ามือ กูร์กตัวส์ แบบไม่มีกระฉอก อีกนาทีต่อมา อาซาร์ ได้จังหวะซัดประตูจากทางฝั่งซ้ายของกรอบเขตโทษ และบอลอยู่ในวิถีเข้าประตูแต่น่าเสียดายที่บอลแฉลบหัว ราฟาแอล วาราน ข้ามคานออกไป

 

 

เบลเยียม ยังเดินหน้าจัดหนักใส่ชุดใหญ่ น. 22 เป็นโอกาสอีกครั้งของ เบลเยียม จากจังหวะที่ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ ได้บอลบริเวณเขตโทษ และเจ้าตัวโชว์ลีลาหมุนตัวตวัดยิงทันที แต่ อูโก้ โยริส โชว์ซูเปอร์เซฟปัดบอลออกหลังไปอย่างเหลือเชื่อ ช่วงนี้เกมยังสูสีทั้ง เบลเยียม และ ฝรั่งเศส มีโอกาสที่จะสร้างความหวาดเสียวได้อย่างต่อเนื่องแต่สกอร์ยังไม่ขยับ น. 28 เดอ บรอยน์ มีโอกาสลากบอลไปทางฝรั่งซ้ายก่อนจะผ่านบอลเข้ามาในเขตโทษบอลกำลังจะถึง ลูกากู อยู่แล้ว แต่เดชะบุญที่  ซามูแอล อุมติตี้ ยืนอยู่ถูกที่ถูกเวลาเตะบอลทิ้งไปได้อย่างหวุดหวิด น. 31 กรีซมันน์ เล่นบอลสั้นกับ ปาวาร์ ก่อนที่เขาจะเปิดบอลเข้ามาในเขตโทษ และ ชิรูด์ โหม่งเต็มหัวแต่บอลเฉียดเสาออกไป

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาทองของ ฝรั่งเศส โดยน. 34 เป็นอีกครั้งที่ แชมป์โลก 1998 ได้ลุ้นประตูเมื่อ กรีซมันน์ วางบอลยาวอย่างแม่นยำให้ เอ็มบั๊ปเป้ ในเขตโทษก่อนที่เขาจะแตะให้ ชิรูด์ แต่น่าเสียดายที่ หัวหอกเชลซี วิ่งช้าไปหน่อยทำให้ยิงไม่ถนัดบอลออกข้างไป โอกาสทองฝังเพชรของ ฝรั่งเศส เกิดขึ้นใน น. 40  เอ็มบั๊ปเป้ โชว์ความเหนือชั้นส่งบอลให้ ปาวาร์ หลุดเข้าไปจ่อยิงระยะ 6 หลา แต่ กูร์กตัวส์ โชว์ซูเปอร์เซฟใช้ขาสกัดออกหลังไปได้อย่างสุดยอด

 

 

เข้าสู่ครึ่งหลัง เบลเยียม เปิดฉากลุยทันที โดย น. 47 อักเซล วิตเซล ได้โอกาสเปิดบอลจากฝั่งขวาบริเวณกลางสนามเข้าไปในเขตโทษ ลูกากู ได้โอกาสโหม่งแต่ วาราน ตามเบียดทำให้โหม่งไม่ถนัดบอลก็เลยหลุดเป้าไป ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของ เบลเยียม ที่เปิดฉากหวังทำประตูให้ได้ อย่างไรก็ตาม น. 51  ฝรั่งเศสสวนกลับ โดย ปาวาร์ ส่งให้ มาตุยดี้ ซึ่งผ่านบอลไปถึง ชิรูด์ และเขาก็พลิกตัวยิงบอลแฉลบ ก็องปานี ออกไป โดยในจังหวะเตะมุม กรีซมันน์ เปิดบอลงามหยด ก่อนที่ อุมติตี้ จะเหินทะยานฟ้าโหม่งเช็ดบอลเข้าไปตุงตาข่าย ส่งให้ “ตราไก่” ขึ้นนำ 1-0

เกมตอนนี้ดูเหมือน ฝรั่งเศส จะเริ่มคุมจังหวะความได้เปรียบ แต่ เบลเยียม ยังตั้งหน้าตั้งตาเดินเกมหวังจะทำประตูคืนให้ได้ อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศส มีโอกาสทำประตูเพิ่มจากการประสานงานขั้นเทพ เมื่อ มาตุยดี้ ส่งบอลให้ เอ็มบั๊ปเป้ ซึ่งโชว์สเต็ปจับบอลเท้าขวาและใช้เท้าซ้ายตอกซ้นส่งให้ ชิรูด์ หลุดเข้าไปยิง แต่โดนสกัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด เบลเยียม ยังไม่เสียขวัญพยายามเดินเครื่องต่อ และเกือบได้ประตูตีเสมอ ใน น. 62 ดรีส เมอร์เท่นส์ มีโอกาสได้บอลในเขตโทษก่อนเปิดเข้ากลางแต่โดนแนวรับฝรั่งเศส สกัดออกมา ซึ่งไม่ดีนัก และ เดอ บรอยน์ มีจังหวะง้างเท้าแต่ดันยิงแป๊กทำให้บอลเข้ามือ โยริส แบบสบายอุรา

 

 

น. 65 เมอร์เท่นส์ ยังคงสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับฝรั่งเศส โดยเขาได้จังหวะเปิดบอลเข้าไปในเขตโทษ และ เฟลไลนี่ กระโดดโหม่งเหนือ อุมติตี้ บริเวณจุดโทษแต่บอลเฉียดเสาไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร อีกสามนาทีต่อมาเป็นคิวของ “เลส์ เบลอส์” เมื่อ กรีซมันน์ โชว์ทักษะจับบอลลงพื้นอย่างเหนือชั้น ก่อนสิ่งให้ ชิรูด์ ตะบันเต็มเหนียวแต่บอลลอยข้ามคานไปแบบไม่ต้องลุ้น เข้าสู่ น. 80 ฝรั่งเศส ยังคุมสถานการณ์ได้ดี ขณะที่ เบลเยียม ยังคงตั้งหน้าตั้งบุกต่อไปและเกือบได้ผล ใน น.82 จากจังหวะที่ วาราน สกัด อาซาร์ และบอลทะลักไปที่ วิตเซล ซึ่งจัดการตะบันเต็มข้อบอลพุ่งราวกับจรวด แต่ โยริส ไม่พลาดทุบออกไปได้อย่างหวุดหวิด

น. 89 เดอ บรอยน์ เก็บบอลเกือบครึ่งสนาม และโยนเข้าไปในเขตโทษบอลเลยหัว ลูกากู ไปนิดเดียว เข้าสู่ช่วงต่อเวลาเจ็บ 6 นาที ฝรั่งเศส มีลุ้นทำประตูใน น. 90+4 เมื่อ กรีซมันน์ ได้จังหวะจบสกอร์ แต่น่าเสียดายที่ยิงไม่ละเมียดทำให้ กูร์กตัวส์ รับได้ ฝรั่งเศส ยังมีโอกาสตอกฝาโล่ง ใน น. 90+6 เมื่อ โกร็องแต็ง โตลิสโซ่ ได้จังหวะยิงโล่งๆ แต่ กูร์กตัวส์ ยังมือไวปัดออกเสาไปได้ และจากนั้น อันเดรส คุนญ่า ผู้ตัดสินชาวอุรุกวัย เป่านกหวีดยาวหมดเวลา ส่งให้ ฝรั่งเศส เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

 

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

ฝรั่งเศส (4-2-3-1) : อูโก้ โยริส (กัปตันทีม) – เบนฌาแม็ง ปาวาร์, ราฟาแอล วาราน, ซามูแอล อุมติตี้, ลูกัส แอร์กน็องเดซ – เอ็นโกโล่ ก็องเต้, ปอล ป็อกบา – คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้, อองตวน กรีซมันน์, แบลส มาตุยดี้ (โกร็องแต็ง โตลิสโซ่ น. 86) – โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ (สตีเว่น เอ็นซองซี่ น. 85)

เทรนเนอร์ : ดีดิเย่ร์ เดส์ชองส์

 

 

เบลเยียม (3-4-3) : ติโบต์ กูร์กตัวส์ – โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, แยน แฟร์ตองเก้น – มูซ่า เดมเบเล่ (ดรีส์ เมอร์เท่นส์  น. 60) , มารูยาน เฟลไลนี่ (ยานนิค การ์ราสโก้ น. 80), อักเซล วิตเซล, นาเซอร์ ชาดลี่ (มิชี่ บัตชูอายี่ น. 90+1) – เควิน เดอ บรอยน์, โรเมลู ลูกากู, เอแด็น อาซาร์ (กัปตันทีม)

เทรนเนอร์ : โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ

ผู้ตัดสิน : อันเดรส คุนญ่า (อุรุกวัย)