เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

วันที่ 27 มิ.ย. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าบีทีเอสขัดข้อง โดยเฉพาะให้เตรียมระบบคมนาคมขนส่งรูปแบบอื่นรองรับให้เพียงพอ นอกจากนี้ ตนยังหารือร่วมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะกำกับกรุงเทพมหานคร ผู้ให้สัมปทานบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส เพื่อแจ้งให้ทราบถึงแผนการอำนวยความสะดวกการเดินทางแก่ประชาชนในช่วงที่บีทีเอสมีปัญหาแล้ว จนกว่าบีทีเอสจะปรับระบบแล้วเสร็จในวันที่ 29 มิ.ย.

ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนรองรับการเดินทางให้กับประชาชนระหว่างวันที่ 25-29 มิ.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่บีทีเอสระบุว่าจะแก้ไขปัญหาได้แล้วเสร็จ โดยในวันที่ 25-26 มิ.ย. ซึ่งเกิดเหตุขัดข้องนั้น สั่งการให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เพิ่มเที่ยววิ่งรถเมล์ 8 เส้นทาง ซึ่งครอบคลุมสถานีรถไฟฟ้ารวม 23 สถานี ตามเส้นทางสถานีสำโรงถึงสยามสแควร์ โดยวันที่ 25 มิ.ย.เพิ่มจำนวน 68 เที่ยววิ่งจาก 1,474 เที่ยววิ่ง เป็น 1,542 เที่ยว และวันที่ 26 มิ.ย. เพิ่มจำนวน 94 เที่ยววิ่ง จาก 1,514 เที่ยว เป็น 1,608 เที่ยว ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการ ขสมก.ในช่วง 2 วันที่ดังกล่าว เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 18,256 คน

 

 

นายอาคม กล่าวต่อว่า ยังได้ประสานให้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เตรียมแผนในการรองรับผู้โดยสารที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นสำหรับรถไฟฟ้าใต้ดินหรือเอ็มอาร์ที โดยเฉพาะบริเวณ 3 สถานีหลักที่มีการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส คือ อโศก สีลม และจตุจักร เพราะคาดว่าจะมีผู้โดยสารบางส่วนเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าใต้ดินที่เดินรถได้ตามปกติมากขึ้นโดยในช่วง 2 วันที่เกิดปัญหามา รฟม. รายงานว่ายอดผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ทีเพิ่มขึ้นมากถึง 102,163 คน หรือเพิ่มขึ้น 17 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ ยังกำชับให้กรมการขนส่งทางบกเข้มงวด และป้องกันไม่ให้มีการเอาเปรียบด้านราคาค่าโดยสารรถแท็กซี่ และรถจักรยานยนต์ กรณีที่ผู้โดยสารบีทีเอสเปลี่ยนการเดินทางไปใช้ระบบอื่นแทน โดยในช่วง 2 วันที่ผ่านมา กรมการขนส่งทางบก ได้ดำเนินการจับปรับแท็กซี่ที่เอาเปรียบปฏิเสธไม่รับผู้โดยสารไปแล้ว 5 ราย และปรับรถมอเตอร์ไซค์วินที่ติดค่าโดยสารแพงเกินจริงไปแล้ว 10 ราย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่บริเวณสถานีสีลม

 

 

ด้าน นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจระบบเดินทางของ รฟม. ทั้งรถไฟฟ้าสายสีม่วง และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ เนื่องจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ใช้ระบบสื่อสารแบบไฟเบอร์ออฟติกซึ่งไม่มีมีการถูกรบกวนสัญญาณ ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงเป็นระบบที่ใหม่ และมีความทันสมัยที่สุดใช้ระบบคลื่นความถี่ 2,400 เมกกะเฮิร์ต และติดตั้งระบบแบล็คอัพสำรองกรณีเกิดเหตุขัดข้องในระบบสัญญา 2,400 เมกกะเฮิร์ต ทำให้สามารถเดินรถต่อไปได้ ส่วนรถไฟความเร็วสูงของกระทรวงคมนาคม ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและเปิดให้บริการในอนาคตนั้น กระทรวงหารือกับกสทช.อย่างใกล้ชิด เพื่อขอใช้ช่องสัญญาณเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในช่วงเช้าของวันที่ 27 มิ.ย. เกิดความผิดปกติมาก เนื่องจากรถไฟฟ้าใต้ดินที่มาต่อเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงเกิดขัดข้องบริเวณสถานีเตาปูน แต่ขัดข้องเพียง 4 นาทีเท่านั้น โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาทีในการแก้ไขปัญหาเพราะเป็นสถานีขนาดใหญ่

 

 

นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์พิเศษอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. ของวันที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้รับรายงานจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ว่าเกิดเหตุขึ้นกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ โดยรถถูกนกกาบบัวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งบินชนกระจกอย่าแรงจนแตกร้าวไปทั้งบาน ขณะที่รถวิ่งให้บริการอยู่ห่างจากสถานีปลายทางทับช้างประมาณ 700 เมตร จะเห็นภาพว่าน่ากลัวมากทำให้รถเสียไป 1 ขบวน ไม่สามารถนำมาให้บริการได้ในช่วงเช้าวันที่ 27 มิ.ย. โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการซ่อมแซมเปลี่ยนกระจก

นายธีรพันธ์ เตชะศิรินุกูล รักษาการรองผู้ว่าการ (กลยุทธ์และแผน) รฟม.กล่าวถึงปัญหารถไฟฟ้าใต้ดินขัดข้องเมื่อช่วงเวลา เวลาประมาณ 07.41 น. ที่สถานีเตาปูนเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ว่า เกิดจากมีระบบเตือนภัยเตือนว่าแรงดัมลมเบรคต่ำผิดกติ จึงจำเป็นต้องนำรถเข้าไปตรวจสอบทำให้ต้องเปลี่ยนขบวนรถ โดยรฟม.ใช้เวลาในการเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสาร 4 นาที แต่เนื่องจากเป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วนมีผู้โดยสารจำนวนมากจึงทำให้ขบวนรถเกิดความล่าช้าประมาณ 20 นาที