เหมือนกับเส้นทางของโรดแม็ปไปสู่การเลือกตั้งจะรุดไปข้างหน้าด้วยความราบรื่นพลันที่ร่างกฎหมายและคำสั่งหัวหน้าคสช.ผ่านการเห็นชอบจากศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560 ไม่ว่าจะเป็นร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.และไม่ว่าจะเป็นร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.อันมีความสำคัญเป็นอย่างสูง เท่ากับเป็นสัญญาณแห่งการปลดล็อก กระนั้นหากฟังน้ำเสียงจากผู้เชี่ยวชาญในการเลือกตั้งอย่างอดีตกกต. “นายสมชัย ศรีสุทธิยากร” ประสานเข้ากับน้ำเสียงจากนักการเมืองดูเหมือนว่าที่คิดว่าราบรื่นก็อาจไม่ราบรื่นก็ได้
หนทางข้างหน้ายังมากด้วยอุปสรรค
ความรู้สึกของนักการเมืองไม่เพียงแต่สัมผัสผ่านการแสดงความเห็นต่อความยุ่งยากของการปฏิบัติในทางเป็นจริงเท่านั้น หากแต่ยังวางน้ำหนักอยู่ที่คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 57/2557
อันเท่ากับเป็นการมัดตราสังพรรคการเมือง
เมื่อนำเอาคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 57/2557 ประสานเข้ากับคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560 ยิ่งทำให้พรรคการเมืองติด “ล็อก” อย่างชนิดขยับไม่ออก
เหมือนกับว่ามีแต่พรรคการเมือง “เก่า” เท่านั้นที่จะย่ำแย่
หากแต่เมื่อสรุปผลจากการให้แจ้งยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคภายในวันที่ 30 เมษายน 2561 สำหรับพรรคการเมืองแล้วก็ต้องร้องกันเป็นทิวแถว
การประชุมพรรค เลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค เป็นปัญหาใหญ่อยู่แล้ว การจัดตั้งสาขาพรรคก็เป็นปัญหาหนักอึ้งของแต่ละพรรคอีกด้วย ไม่ใช่พรรคการเมืองเก่า หากแต่รวมถึงพรรคการเมืองใหม่
ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ไม่ว่าพรรคพลังชาติไทย ไม่ว่าพรรคพลังธรรมใหม่ ไม่ว่าพรรคประชาชนปฏิรูป โดนกันถ้วนหน้า
ทั้งๆ ที่ถือว่าอยู่ในเครือข่ายของ “คสช.”
มีความเป็นไปได้ว่าพรรคอันเป็นเครือข่ายของ “คสช.” นี่แหละอาจจะโวยและนำไปสู่การขยับขับเคลื่อนอีกครั้งเพื่อทำให้สามารถเข้าสู่สนามเลือกตั้งได้อย่างคล่องใจ
เพียงแต่ว่าคสช.จะขานรับอย่างไรเท่านั้น
ยิ่งโรดแม็ปการเลือกตั้งเคลื่อนเข้ามาใกล้มากเพียงใด ยิ่งทำให้มองเห็นว่าการตระเตรียมในเรื่องกฎกติกา ไม่ว่าจะผ่านรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะผ่านกฎหมายลูก
กำลังสำแดง “ปัญหา” ออกมาให้ปรากฏ ทั้งนี้ แทบนึกไม่ออกว่าภายหลังการเลือกตั้งความยากลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นอย่างไร ความยากลำบากของรัฐบาลที่จะบริหารประเทศจะเป็นอย่างไร
นี่คือ “กับดัก” ที่ “คสช.” อาจกลายเป็น “ติด” เสียเอง