เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เจาะลึกรูปแบบการเล่น ความน่าจะเป็น และการวัดกันตำแหน่งต่อตำแหน่งก่อนหน้าเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เรอัล มาดริด – ลิเวอร์พูล ในวันที่ 26 พ.ค. 2561 ที่เมืองเคียฟ ประเทศยูเครน ซึ่งต้องมาดูกันว่าถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2018 จะตกเป็นของใครระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด สุดท้ายแล้วใครจะได้ไปครอง

5. การยืนตำแหน่งเบื้องต้น

 

 

คาดการณ์ว่านายใหญ่ของทั้ง เรอัล มาดริด กับ ลิเวอร์พูล จะจัดวางแท็คติกเก่งของพวกเขาโดยที่ต่างฝ่ายไม่มีเซอร์ไพรส์  เจอร์เก้น คล็อปป์ กับแผนการเล่น 4-3-3 นำทีมโดยสามประสานตัวเก่งในแดนหน้าอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน รวมกับสามมิดฟิลด์สายบู๊ ขณะที่ เรอัล มาดริด ของ ซีเนดีน ซีดาน ดูจะยืดหยุ่นกว่าเล็กน้อยเมื่อแผน 4-3-1-2 ของพวกเขาสามารถปรับเปลี่ยนมาเป็น 4-4-2 หน้ากระดานยามเป็นฝ่ายตั้งรับ หรือ 4-2-2-2 เมื่อต้องการโอเวอร์โหลดผู้เล่นในแดนกลางได้

4. คาดแผนการณ์ของ ราชันชุดขาว

 

 

โลส บลังโกส มีเพียง ลูคัส บาสเกวซ เท่านั้นที่เป็นผู้เล่นในตำแหน่งปีกโดยธรรมชาติและคาดว่าเจ้าตัวไม่น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นหนึ่งใน 11 ผู้เล่นตัวจริง ในเกมกับรองรองชนะเลิศกับ บาเยิร์น มิวนิค รูปแบบ 4-4-2 ของ มาดริด ใช้ผู้เล่นริมเส้นอย่าง ลูก้า โมดริช ที่มักหุบเข้ามายืนกลางสนามเมื่อทีมเป็นฝ่ายรุก คอยเปิดป้อนบอลกำหนดจังหวะเกมรุกของทีม ขณะที่ มาร์โก อเซนซิโอ ที่อีกฝั่งหนึ่งรับบทบาทเคลื่อนที่อย่างอิสระไปทั่วแนวรุก คอยหาช่องใช้ความสามารถเฉพาะตัวโจมตีแนวรับฝั่งตรงข้าม เป็นบทบาทที่ไม่ว่า อเซนซิโอ หรือ อิสโก้ ก็สามารถสร้างสรรค์ให้กับทีมได้ไม่ว่าใครจะถูกส่งลงสนาม การใช้สองแข้งริมเส้นในแผงมิดฟิลด์เคลื่อนที่เข้ามาตรงกลางทำให้แบ็คทั้งสองข้างของพวกเขามีพื้นที่เติมขึ้นมาสนับสนุนเกมรุกและยังทำให้ ราชันชุดขาว มีผู้เล่นมากกว่าที่พื้นที่ในแดนกลาง

 

3. คาดการณ์แผนการณ์ของ หงส์แดง

 

 

เกมรุกที่รวดเร็ว การโจมตีอย่างเฉียบพลันคือไม้ตายของ ลิเวอร์พูล ที่พาพวกเขาทะลุเข้ามาถึงนัดชิงชนะเลิศเกมนี้ แต่นอกจากบทบาทในการบุกแล้วแนวรุกของพวกเขายังต้องมีวินัยสุดๆ ยามที่เป็นฝ่ายตั้งรับเพื่อเพิ่มโอกาสในการคว้าชัยให้ได้ โดยเฉพาะสมาธิและการยืนตำแหน่งในการเพรสซิงของ ซาดิโอ มาเน กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต่อ ดานี การ์บาฆาล กับ มาร์เซโล ที่จะอันตรายอย่างยิ่งยวดหากปล่อยให้พวกเขาเติมขึ้นไปสนับสนุนเกมรุกประจันหน้ากับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เพียงลำพัง

แดนหน้าของทีมดังจาก เมอร์ซีย์ไซด์ ยังต้องทำงานหนักในการไล่บีบตำแหน่งสองเซ็นเตอร์แบ็คของ มาดริด ไม่ให้พวกเขาตั้งเกมจากแดนหลังได้อย่างสะดวกและจะเป็นการกดดันให้ฟูลแบ็คทั้งสองข้างของ มาดริด ให้ต้องลงต่ำไปช่วยต่อบอล ถือเป็นการตัดอันตรายจาก การ์บาฆาล และ มาร์เซโล ไปอีกทางหนึ่ง

 

2. จุดที่น่าเป็นห่วงของทั้งสองทีม

 

 

ทั้ง เรอัล มาดริด และ ลิเวอร์พูล ต่างก็ขึ้นชื่อในเกมรุกอย่างสุดๆ ด้วยกันทั้งคู่ แต่สิ่งที่เรียกได้ว่าน่าเป็นห่วงสำหรับทั้งสองทีมคือเกมรับที่ต่างฝ่ายต่างก็มีช่องโหว่ให้เห็น ฝั่ง ราชันชุดขาว มี มาร์เซโล ที่เป็นหนึ่งในแบ็คซ้ายที่เติมเกมรุกได้มันส์ที่สุดคนหนึ่งของโลก แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นทันทียามที่การเติมของแบ็ค บราซิเลียน ถูกย้อนศร โดยเฉพาะเมื่อ หงส์แดง มีอาวุธหนักอย่าง ซาลาห์ ที่เป็นคู่ต่อสู้ซึ่งต้องเผชิญหน้ากันตาต่อตาในเกมนี้ การเปิดพื้นที่ให้ดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก ได้กระชากลากเลื้อยดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเท่าใดนัก

สำหรับ หงส์แดง ที่คู่หูเบอร์หนึ่งของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค อย่าง โจเอล มาติป ได้รับบาดเจ็บ เดยัน ลอฟเรน จึงต้องถูกส่งลงสนามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ปราการหลังทีมชาติ โครเอเชีย เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ทว่าบางครั้งบางหนยังแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาดทั้งในการยืนตำแหน่งและการเข้าปะทะ และมันยิ่งน่าเป็นห่วงขึ้นไปอีกเมื่อแนวรุกของ มาดริด มีทั้ง คริสเตียโน โรนัลโด้ และ คาริม เบนเซมา คอยปั่นป่วน

 

1. วันเบอร์หนึ่งของโลก

 

 

แม้จะไม่ได้ต้องดวลกันตัวต่อตัวจากตำแหน่งที่ต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบให้กับทีมในสนาม แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่านี่คือไฮไลท์ของเกมที่จะเกิดขึ้นในวันนี้กับบทบาทตัวผู้เล่นคีย์แมนระหว่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ คริสเตียโน โรนัลโด้ ดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก จาก อียิปต์ วัย 25 ปีนับว่าเป็นแข้งระดับปรากฎการณ์ของโลกฟุตบอลในฤดูกาลนี้กับสถิติ 44 ประตูจาก 51 นัดทุกรายการที่ลงเล่นและยังกวาดรางวัลเกียรติยศส่วนตัวเป็นว่าเล่นจะได้เผชิญหน้าวัดรอยเท้ากับหนึ่งในแข้งที่ดีที่สุดของโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ว่ากันว่า นี่อาจจะเป็นแมตช์ตัดสินรางวัลบัลลงดอร์สำหรับปีนี้เลยทีเดียว