เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

จากคดีตำรวจกองปราบบุกค้น 3 วัดดังกลางกรุงในคดีเงินทอนวัด ทั้ง วัดสระเกศราชวรวิหาร วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร และวัดสามพระยาวรวิหาร ก่อนควบคุมตัว ‘พระพรหมดิลก’ เจ้าคณะกทม.และเจ้าอาวาสวัดสามพระยา พร้อมพระเลขานุการ ส่วน ‘พระพรหมสิทธิ’ หรือ ‘เจ้าคุณธงชัย’ เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และ ‘พระพรหมเมธี’ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม หลบหนีไปก่อน จากนั้นตำรวจคุมตัวพระเถระชั้นผู้ใหญ่มาสอบสวนและส่งศาล โดยไม่ได้ประกันตัว ทำให้ถูกสึกและส่งเรือนจำ

สำหรับความคืบหน้า รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการสืบสวนคดีเงินทอนวัด เป็นที่น่าสังเกตว่าพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกดำเนินคดี บางรายยังพบการยักยอกถ่ายเทเงินที่ได้มาจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปยังสีกาคนใกล้ตัวทั้งสิ้น ซึ่งจากการสืบสวนในเชิงลึกของชุดสืบสวนกองปราบฯที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ยังพบอีกว่าพระผู้ใหญ่บางรูปมีพฤติกรรมเสพเมถุนเข้าข่ายประพฤติตนไม่เหมาะต่อการเป็นสมณะเพศ และเข้าข่ายอาบัติปาราชิกด้วย

 

 

จากการสืบสวนพบว่าพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งมีความใกล้ชิดกับสีกาคนหนึ่งปัจจุบันอายุประมาณ 50 ปี เคยมีอาชีพเป็นหมอนวดแผนโบราณในสถานบริการแห่งหนึ่ง โดยมีพนักงานแนะนำให้รู้จักกับพระผู้ใหญ่รูปดังกล่าว แต่ขณะนั้นหญิงหมอนวดคนนี้ไม่ทราบว่าเป็นพระ เนื่องจากสวมชุดซาฟารีมาหาในสถานบริการและสวมหมวกแก๊ป โดยเรียกแทนตัวเองว่า “เฮีย” ก่อนที่จะเข้าห้องไปนวดกันหลายครั้งต่อเนื่องหลายวันในช่วงกลางคืน ก่อนที่ชายคนนี้จะขอมีเพศสัมพันธ์ในสถานบริการ เพื่อแลกกับเงินหลักหมื่นบาท ซึ่งหมอนวดคนนี้ก็ยินยอมเพราะครอบครัวมีปัญหา เนื่องจากถูกสามีทิ้งและลูกชายที่เลี้ยงดูอยู่ก็เป็นเด็กพิการ

โดยการมีเพศสัมพันธ์กันแต่ละครั้งพระผู้ใหญ่รูปนี้จะจ่ายเงินตอบแทนให้ครั้งละหลายหมื่นบาท จนกระทั่งวันหนึ่งยอมบอกว่าตัวเองเป็นพระสงฆ์ แต่แอบออกจากวัดมา ซึ่งหมอนวดก็ให้การด้วยว่าตอนนั้นรู้สึกตกใจมาก แต่พระผู้ใหญ่รูปนี้ก็เสนอเงินเดือนให้แลกกับการไม่ต้องทำอาชีพหมอนวด นอกจากนี้ยังส่งให้ไปเรียนเสริมสวยและเปิดร้านเสริมสวยให้ด้วย เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ไปยังโรงเรียนเสริมสวยที่อ้างถึง พบว่ามีชื่อเคยเรียนอยู่จริงตรงกับคำให้การทุกประการด้วย

 

 

แต่การที่จะจับพระสึกจากสมณะเพศโดยการกระทำผิด เนื่องจากประพฤติอาบัติปาราชิก ซึ่งเป็นความผิดขั้นสูงสุดนั้น ต้องจับขณะที่พระสงฆ์กำลังเสพสังวาส ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นเรื่องของการสมยอมระหว่างคนสองคน อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนก็สอบปากคำพยานและบันทึกหลักฐานต่างๆไว้เป็นหลักฐานแล้ว และอาจจะส่งประกอบสำนวนให้กับพนักงานอัยการพิจารณาด้วยก็เป็นได้