เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 19 พฤษภาคม ร.ต.อ ฉัฎชัย จันทาพูน ร้อยเวร (สอบสวน) ทางด่วน 1 รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้รถทัวร์ปรับอากาศ รับ-ส่งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่บริเวณทางด่วนขั้นที่ 1 ขาเข้า แขวงบางจาก เขตพระโขนง เลยด่านเก็บเงินด่วนสุขุมวิท 62 ประมาณ 200 เมตร หลังรับแจ้งประสานงาน รถกู้ภัยทางด่วน 1 รถบรรเทาสาธารณะภัย รุดไปที่เกิดเหตุ บริเวณช่องเลนซ้าย พบรถทัวร์ปรับอากาศ สีขาว-เหลือง หมายเลขทะเบียน 31-2314 กรุงเทพ ของบริษัท YSK ทรานสปอรต์ กำลังเกิดเพลิงลุกไหม้ จากห้องเก็บสัมภาระ และลุกลามขึ้นมายังห้องผู้โดยสาร โดยขณะเกิดเหตุพบว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่ต่ำกว่า 30 คน กำลังวิ่งหนีตายลงจากรถปรับอากาศคันดังกล่าว

โดยเพลิงได้ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีผ้าม่าน เบาะรถเป็นหนัง และกำมะหยี่ ทำให้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี โดยเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณะภัยได้ระดมใช้น้ำทำการฉีด เป็นผลจนควบคุมเพลิงไว้ได้ โดยเพลิงได้ลุกไหม้รถหมดทั้งคัน

หลังเพลิงสงบ ทางด้านนายพีรพงศ์ รมภักดี อายุ 43 ปี คนขับได้เปิดเผยว่าก่อนเกิดเหตุได้ไปรับนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน จากโรงแรม NY  ย่านบางเสาธง จ.สมุทรปราการ จะไปสวนจตุจักร เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ช้อปปิ้ง โดยวิ่งมาตามถนนบางนา-ตราด ขาเข้า ก่อนขึ้นด่วนบางนา ผ่านทางขึ้นด่วน สุขุมวิท 62 มาได้ประมาณ 200 เมตร ได้ยินเสียงผู้โดยสารร้องโวยวาย และมีกลิ่นเหม็นไหม้ จึงได้จอดรถแอบข้างทาง ก่อนจะเห็นไฟกำลังลุกไหม้จ่ากห้องเก็บสัมภาระด้านล่าง จึงได้ตะโกนบอก นายบูรณ์พิภพ หลักทรัยพ์จรัญ ไกด์คนไทยให้บอกนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน ให้รีบหนีลงมาจากรถ ก่อนเพลิงจะลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จนไหม้หมดคัน โดยหลังเกิดเหตุได้ประสานงานกับทางบริษัท ให้มารับนักท่องเที่ยว ที่รออยู่ตรงจุดเกิดเหตุกลับไปที่พัก ขณะเกิดเพลิงไหม้ นักท่องเที่ยวต่างร้องไห้ เพราะหลายคนต้องสูญเสียข้าวของ ที่ติดไปกับกองเพลิงไหม้ในครั้งนี้

เบื้องต้นพบว่ามีกลุ่มควันมาจากห้องสัมภาระ จากนั้นก็มีแสงเพลิง จนเพลิงได้ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว และไหม้หมดทั้งคัน จึงได้ปิดการจราจรขาเข้าตั้งแต่ช่วงหน้าด่านทางขึ้นสุขุมวิท 62 เพื่ออำนวยความสะดวกกับรถบรรเทาสาธารณะภัย ได้ทำงาน ในส่วนของนักท่องเที่ยวก็ประสานงานกับทาง บริษัท ของรถคันดังกล่าวมารับนักท่องเที่ยวกับที่พักก่อน จากนั้นจะทำลากรถเพื่อให้พ้นการกีดขวางการจราจร ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้ คงต้องรอให้เจ้าหน้ากองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง