เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ตำรวจยาเสพติดมือฉมัง “ผู้กำกับโจ้” พ.ต.อ.ฐิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสววรรค์ ผู้กำกับโจ้ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 41 และเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 57 โดยบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ ตำแหน่งรองสารวัตร เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2547 10 ปีต่อมา หรือใน พ.ศ. 2557 ได้ขึ้นเป็นสารวัตรกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรายาเสพติด 1 (กก.2 บก.ปส.1) จากนั้นในปี พ.ศ. 2561 ก้าวขึ้นเป็น รองผู้กำกับการ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามยาเสพติด 4 (กก.1 บก.ปส.4) ก่อนที่ปี พ.ศ. 2562 จะได้เป็น รอง ผกก. สืบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก และอีกเพียง 1 ปี คือปี พ.ศ. 2563 จึงได้เป็น ผกก.สภ เมืองนครสวรรค์ ซึ่งถือเป็นโรงพักเกรดเอของตำรวจภูธรภาค 6 กินเงินเดือน ระดับ ส.4 ขั้น 20 อัตราเงินเดือนที่ 43,330 บาท
รายงานว่า ขณะนั้น ผู้กำกับโจ้ มีลำดับอาวุโสรั้งท้ายในกลุ่มผู้มีสิทธิเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น โดยอยู่ในอันดับที่ 325 จากผู้มีสิทธิเลื่อนตำแหน่ง 326 นาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

 

 

ต่อมาจึงมีผลงานโดดเด่นด้านการปราบปรามยาเสพติดและการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ และได้รับการจับตาในฐานะ ตำรวจปราบปรามยาเสพติดมือฉมัง
17 ปี สู่ยศ “ผู้กำกับการ”
ข้อมูลจากระเบียบการเลื่อนยศและการเลื่อนตำแหน่งของตำรวจ ตาม กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2561 แสดงให้เห็นว่า จากตำรวจชั้นสัญญาบัตร หรือ ยศร้อยตำรวจตรี ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 17 ปี จึงจะได้เป็นผู้กำกับการ รายละเอียดตามข้อ 16 การคัดเลือกหรือแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ตั้งแต่ระดับจเรตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงมาถึงระดับสารวัตร ให้ผู้มีอำนาจพิจารณาจากผู้ที่มีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
• รองสารวัตร เลื่อนขึ้นเป็น สารวัตร คุณสมบัติ คือ ยศ ร้อยตำรวจเอก ดำรงตำแหน่งอย่างน้อย 7 ปี
• สารวัตร เลื่อนขึ้นเป็น รองผู้กำกับการ คุณสมบัติ คือ ยศ พันตำรวจโท ดำรงตำแหน่งอย่างน้อย 6 ปี
• รองผู้กำกับการ เลื่อนขึ้นเป็น ผู้กำกับการ คุณสมบัติ คือ ยศ พันตำรวจโท ดำรงตำแหน่งอย่างน้อย 4 ปี
ทั้งนี้ มีการระบุว่าให้หัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้จัดทำบัญชีข้อมูลหรือรายชื่อผู้เหมาะสมเสนอไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้แต่งตั้งโดยให้พิจารณาจากการคำนึงถึงอาวุโส ประวัติการรับราชการ ผลการปฏิบัติงาน ความประพฤติ และความรู้ความสามารถประกอบกัน ทั้งนี้ให้เป็นไปตามแนวทางที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนด

เปิดเส้นทางสู่ความร่ำรวยผู้กำกับโจ้

ผู้กำกับโจ้” เริ่มจากเลือกรถหรูที่ฝั่งมาเลเซีย เพราะราคาถูกกว่าไทยเยอะ ยกตัวอย่าง BMW ราคาอยู่ที่ประมาณ 4 แสน ลงทุนซื้อที่มาเลย์แล้วลักลอบเอาเข้าไทย จากนั้นทำทีปั้นคดีว่า “จับรถ” โดยไม่มีคนเกี่ยวข้อง ทำนองเจอรถต้องสงสัย นำเข้าผิดกฎหมาย

คดีแบบนี้ปลายทางจะทำให้รถถูกส่งให้ศุลกากร แล้วเมื่อคดีเสร็จสรรพ ศุลกากรก็จะนำออกขายทอดตลาดด้วยวิธีประมูล สมมติ ว่า BMW คันดังกล่าว ประมูลได้ในราคา 2 ล้าน สิ่งที่ “ผู้กำกับโจ้” จะได้ตามมา คือ 1. รางวัลนำจับ และ 2. ค่าสายข่าว ทั้งสองส่วนนี้คิดเป็น 45% ของราคา 2 ล้าน หรือ 900,000 ทันที
เท่ากับว่า รถ BMW คันนี้ หักทุน 400,000 บาทแล้ว ผู้กำกับโจ้ จะได้กำไร 500,000 บาท

นายตำรวจหนุ่มโจ้ ทำลักษณะนี้หลายครั้ง มีรถหรู-สปอร์ตคาร์ หลายยี่ห้อที่นำเข้าจากมาเลย์ ด้วยวิธีลงทุนเองจับเอง ส่งศุลกากร บางคันจะเก็บไว้ใช้เอง ก็ฮั้วกับเจ้าหน้าที่กรมศุลฯ ปล่อยราคาถูกๆ หรือถอดอะไหล่ ถอดอุปกรณ์บางอย่างออกให้ราคาตก
ช่วงพีกๆ กรมศุลฯ จัดประมูลรถลักษณะอย่างนี้ทุกเดือน เดือนหนึ่งก็ราวๆ 400 คัน ว่ากันว่า เป็นรถในเครือข่ายของ ผู้กำกับโจ้ เสีย 50%
คำนวณดูเอาว่า แต่ละเดือน “ผู้กำกับโจ้” จะมีรายได้เท่าไหร่ ? แถมเป็นเงินที่ถูกกฎหมาย เพราะเป็นรางวัลนำจับ และค่าสายข่าว ที่ศุลกากรต้องจ่ายตามกฎ

ตอนหลังถูกจับตา ศุลกากรจึงต้องยกเลิกประมูลรถที่มีที่มาจากฝั่งมาเลย์ แต่ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันถึงทุกวันนี้ ว่า เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องใช้สำนักงานในศุลกากร เป็น “ผู้กำกับโจ้” อภินันทนาการไว้ให้ราชการใช้จำนวนมาก
นี่เป็นเรื่องราวที่เล่าขานในแวดวงตำรวจ ถึงเส้นทางร่ำรวย ไฮโซ มีเงินมีทอง เป็นเจ้าของซูเปอร์คาร์ ทั้ง ลัมบอร์กินี ปอร์เช่ เฟอร์รารี่ BMW และยี่ห้อดังอื่นๆ ของ “ผู้กำกับโจ้” ที่ไม่ธรรมดา ส่วนเส้นทางอื่นเหมือนที่เกิดขึ้นกับพ่อค้ายาที่นครสวรรค์ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน แต่จากการรับผิดชอบปราบปรามยาเสพติดมานาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะเป็นครั้งแรก

จึงไม่แปลกว่าทำไม ผู้กำกับโจ้ถึงร่ำรวย มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย