เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบการติดเชื้อในกลุ่มแรงงาน ชุมชนแออัด และในครอบครัว ซึ่งข้อมูลการสำรวจของกรมอนามัย ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2564 พบหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อ จำนวน 519 ราย หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่จะมีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ

แต่ก็พบว่ามีหญิงตั้งครรภ์เสียชีวิตแล้ว จำนวน 8 ราย ส่วนใหญ่หญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อมาจากสถานที่ทำงานและจากบุคคลในครอบครัว พบทารกเสียชีวิต จำนวน 4 ราย ทารกติดเชื้อ จำนวน 36 ราย ซึ่งจากการศึกษาทบทวนข้อมูลการศึกษาของหลายประเทศทั่วโลกพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ติดโรคโควิด-19 มีความเสี่ยงที่โรคจะรุนแรงกว่าคนทั่วไป

องค์การต่าง ๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นองค์การอนามัยโลก (WHO) ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) รวมทั้งราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับวัคซีนเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เพราะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรง เมื่อติดเชื้อทั้งแม่และเด็กในครรภ์ โดยให้รับวัคซีนในช่วงหลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์เป็นต้นไป เพื่อลดความกังวล ต่อการเกิดความพิการของทารก และเนื่องด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดอย่างมากในขณะนี้ การได้รับวัคซีนถือว่า มีประโยชน์มากกว่าเมื่อเทียบกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน

โดยหญิงตั้งครรภ์ที่ฉีดวัคซีนสามารถ ลดการเจ็บป่วย ลดโอกาสคลอดก่อนกำหนดซึ่งจะเกิดผลแทรกซ้อนระยะยาวต่อเด็ก และลดโอกาสแพร่เชื้อไปยังสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว โดยเฉพาะหากมีเด็กเล็กอยู่ด้วย

“ทั้งนี้ แม้ว่าหญิงตั้งครรภ์จะได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแล้ว แต่ยังต้องไปตามนัดหมาย ตรวจครรภ์ หรือการตรวจสุขภาพของลูกในท้องทุกครั้ง โดยต้องดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อในระหว่างนั่งรอตรวจหรือรับยา หากสงสัยว่าตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือไปในพื้นที่เสี่ยงต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบทุกครั้งเมื่อไปตรวจครรภ์ และต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ให้เว้นระยะห่างจากผู้อื่น อย่างน้อย 2 เมตร เมื่อกลับถึงบ้านให้ถอดหน้ากากทิ้งอย่างถูกวิธี ล้างมือ เปลี่ยนเสื้อผ้าทันที งดใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันภายในบ้าน และให้สังเกตอาการผิดปกติของการตั้งครรภ์ด้วย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

นอกจากนี้ ไม่มีข้อห้ามฉีดในคนที่ให้นมบุตร ส่วนการฉีดวัคซีนข้ามชนิดยังไม่แนะนำ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา ในออกซ์ฟอร์ด อังกฤษ มีการศึกษาระหว่างไฟเซอร์และแอสตราเซเนกาไม่เห็นผลภูมิขึ้นแตกต่าง แต่อาการข้างเคียงเข็มสองจะมากกว่าเป็นอาการ ไข้ ปวด เจ็บบริเวณที่ฉีดมากขึ้น เรากำลังศึกษาการฉีดไขว้ แต่มีข้อมูลจำนวนหนึ่งที่ฉีดเข็มแรกแพ้ แล้วต้องเปลี่ยน โดยเข็มแรกเป็นซิโนแวค เข็มสองเป็นแอสตราฯ พบ 1 เดือนต่อมามีภูมิต้านทานสูงมาก แต่ตอบไม่ได้กว่าสูงกว่าแอสตราฯ 2 เข็มหรือไม่ แต่สูงกว่าชิโนแวค 2 เข็ม ส่วนการศึกษาเข็มแรกฉีดแอสตราฯ 1 เดือนต่อมาฉีดชิโนแวคนั้น กำลังจะเจาะเลือดตรวจภูมิฯ วันที่ 4 มิ.ย.นี้ ขณะนี้วัคซีนมีหลายบริษัท จะศึกษาการไขว้ไปมาว่าจะเกิดผลอย่างไร

ส่วนวัคซีนทางเลือก คนทั่วไปยังไม่เข้าใจ แม้เราขึ้นทะเบียนโมเดอร์นาแล้ว แต่ทราบว่าจะเข้ามาหลังต.ค.จะได้หรือไม่ยังไม่รู้ รวมถึงจอห์นสันแอนด์จอห์นสันก็ขึ้นทะเบียนแล้ว เราพร้อมซื้อแต่อยู่ที่ต้นทาง เนื่องจากอาจต้องรอวันที่ 4 ก.ค.หลังวันชาติที่เขาจะฉีดประชากรให้ครบก่อน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง