เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

โควิด-19 : สิงคโปร์แซงหน้านิวซีแลนด์ เป็นประเทศที่รับมือโควิด-19 ได้ดีที่สุดในโลก 

ขณะที่หลายประเทศกำลังรับมือกับโควิด-19 ที่กลับมาระบาดระลอกใหม่ เกาะเล็ก ๆ ในเอเชียแห่งนี้ได้รับการยกให้เป็นที่ที่รับมือและฝ่าวิกฤตนี้ได้ดีที่สุด

สัปดาห์นี้ สิงคโปร์แซงหน้านิวซีแลนด์เป็นประเทศที่แข็งแกร่งและฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้เป็นอันดับหนึ่งตามการจัดอันดับโดยบลูมเบิร์ก (the Bloomberg Covid Resilience Ranking) ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อไปจนถึงอิสรภาพในการเดินทางไปไหนมาไหน

บลูมเบิร์กบอกว่าเหตุผลสำคัญที่สิงคโปร์แซงหน้านิวซีแลนด์คือโครงการฉีดวัคซีนให้ประชาชนที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่า

มาดูกันว่าการอาศัยอยู่ในประเทศที่ฝ่าวิกฤตได้ดีที่สุดเป็นอย่างไร

A couple wearing protective masks wait to cross a street in the rain on 10 January 2021 in Singapore

Getty Images

เกือบปกติ แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน

จริงอยู่ที่ชีวิตในสิงคโปร์กลับมาเกือบเป็นปกติแล้ว แต่ก็ไม่ใช่จะดีสมบูรณ์แบบ

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แทบจะไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มเลย นอกจากการระบาดเป็นกลุ่มย่อย ๆ เล็กน้อย ซึ่งก็ถูกจัดการควบคุมโดยทันที ในสัปดาห์นี้ เมื่อพบผู้ติดเชื้อใหม่หลายราย ทางการก็ใช้มาตรการควบคุมเข้มงวดทันที

ตั้งแต่การล็อกดาวน์สองเดือนเมื่อต้นปีที่แล้ว เราก็ไม่เคยต้องใช้มาตรการนั้นอีกเลย

ชีวิตเกือบจะเป็นปกติ ฉันสามารถนัดครอบครัว หรือเพื่อน ๆ ไปกินข้าวที่ร้านอาหารได้ แค่ห้ามเกิน 8 คน คุณยังต้องใส่หน้ากากอนามัยอยู่ทุกที่ แม้จะเป็นกลางแจ้ง แต่ก็สามารถถอดออกได้หากกำลังทานอาหารหรือออกกำลังกาย

People exercise at a park on 10 April 2021 in Singapore

Getty Images
A family partakes in a steamboat meal for their reunion dinner at home on the eve of the lunar new year on 11 February 2021 in Singapore.

Getty Images

พวกเราหลายคนกลับไปทำงานในออฟฟิศซึ่งจัดให้มีการเว้นระยะห่าง คุณสามารถไปดูหนัง ไปคอนเสิร์ต หรือไปซื้อของได้ ตราบใดที่ใส่หน้ากากอนามัย และเช็กอินด้วยแอปพลิเคชัน

ศูนย์รับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนเองก็กลับมาเปิดแล้ว และในช่วงสุดสัปดาห์ ฉันก็สามารถพาลูก ๆ ไปไหนก็ได้ แต่ว่าหลายที่ก็มักจำกัดจำนวนคน คุณก็เลยต้องวางแผนล่วงหน้าดี ๆ หน่อย

ตอนนี้ ประชากร 15% ได้รับวัคซีนครบทุกโดสแล้ว เป็นเพราะประชากรเรามีแค่ 6 ล้านคน แต่โครงการฉีดวัคซีนก็มีประสิทธิภาพมากด้วย คนมีเชื่อมั่นในรัฐบาลสูง และจำนวนคนที่ไม่เชื่อว่าวัคซีนจะได้ผลก็น้อยลงไปมาก

ดังนั้นเราจึงปลอดภัย และทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี อีกหลายปัจจัยที่ช่วยคือการบังคับใส่หน้ากากอนามัย ระบบติดตามผู้เสี่ยงติดเชื้อที่แข็งขัน และมาตรการห้ามเดินทางและห้ามคนรวมตัวกันที่บังคับใช้มาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ การที่ประเทศเราเป็นเกาะก็ทำให้ควบคุมพรมแดนได้ง่าย และเราก็มีเงินทุนสำรองเยอะ และมีระบบต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพมาก

อย่างไรก็ดี หลายคนอาจไม่เห็นด้วยที่จะบอกว่านี่เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดระหว่างต้องเผชิญกับโควิด-19

People sit on chairs marked out to maintain social distancing amid the COVID-19 pandemic on 19 March 2021 in Singapore

Getty Images
Social distancing has become the norm in Singapore

คนสิงคโปร์เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างเป็นอิสระ แต่ไม่ใช่เช่นนั้นสำหรับแรงงานอพยพนับแสนที่ยังติดอยู่ในที่ทำงานและหอพัก หลังจากที่มีการระบาดครั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้วเนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดและไม่ถูกสุขลักษณะ

พวกเขาต้องขออนุญาตจากนายจ้างหากอยากจะออกจากหอพัก และต้องไปสังสรรค์กันในสถานที่ที่รัฐบาลอนุมัติเท่านั้น

รัฐบาลบอกว่านี่เป็นมาตรการจำเป็นเพื่อปกป้องประชากรที่เหลือในประเทศ เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดอีกระลอกในชุมชุนของพวกเขา นี่เป็นเรื่องจริง แต่มันก็สะท้อนให้เห็นว่าสิงคโปร์มีปัญหาเรื่องความเท่าเทียมและยังแบ่งแยกกลุ่มคนมากแค่ไหน

นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิผู้อพยพบอกว่านี่เป็นเรื่องที่ “น่าละอายและเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างมาก”

“ด้วยความที่แรงงานอพยพไม่มีอำนาจทางการเมือง มันกลายเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับกันได้ที่พวกเขาต้องมาเป็นผู้รับผลกระทบจากความล้มเหลวของนโยบายเรา”

“นิวซีแลนด์อาจเกือบได้อันดับหนึ่งในฐานะประเทศที่แข็งแกร่งและฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 แต่พวกเขาไม่ได้เหยียบย่ำสิทธิของผู้คน มันไม่ใช่แค่เรื่องผลลัพธ์เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของวิธีการที่เราไปถึงจุด ๆ นั้นด้วย”

นอกจากนี้ การระบาดใหญ่ในครั้งนี้ยังจะส่งผลกระทบต่อครอบครัวที่มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลได้พยายามอัดฉีดเงินมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือครอบครัวที่ยากจน และอัตราการว่างงานก็ยังอยู่ในระดับต่ำ

Migrant workers wearing face masks as prevention for the spread of the COVID-19 coronavirus look out from a quarantined dormitory building in Singapore on 20 May 2020.

Getty Images
แรงงานอพยพต้องขออนุญาตจากนายจ้างหากอยากจะออกจากหอพัก

แต่ตัวเลขสถิติเหล่านี้ก็ไม่ได้สะท้อนภาพรวมทั้งหมด เพราะแรงงานบางคนก็โดนตัดเงินเดือน และบางคนที่ตกงานก็ต้องไปหาเงินเสริมเป็นคนขับรถหรือพนักงานส่งอาหาร

สอดส่อง

แม้จะไปไหนมาไหนได้อย่างเป็นอิสระ ข้อเสียก็มีอยู่เหมือนกัน

จากที่มีความเป็นส่วนตัวน้อยอยู่แล้ว รัฐสามารถสอดส่องเราได้มากขึ้นไปอีกหลังจากมีการระบาดใหญ่ เราต้องยอมรับว่าทุกวันนี้มีแอปฯ ที่คอยติดตามเราตลอดว่าไปไหนมาไหน ไปพบปะกับใครมาบ้าง แม้ว่ารัฐบาลจะยืนยันว่าไม่มีการระบุตัวตนของผู้ใช้แอปฯ ก็ตาม

หลายคนเห็นด้วยว่านี่เป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐบาลต้องทำในภาวะวิกฤต แต่บางฝ่ายก็กังวลว่าจะมีการนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไปใช้ในทางที่ผิดได้ และเมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลก็เพิ่งออกมายอมรับว่าอนุญาตให้ตำรวจใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่การติดตามผู้เสี่ยงติดเชื้อ

บทพิสูจน์ที่แท้จริง

มันยากที่จะไปนั่งบ่นเรื่องความรู้สึกเบื่อหน่ายในเมื่อหลายประเทศยังต้องรับมือกับวิกฤตระลอกใหม่อยู่ พวกเราหลายคนก็รู้สึกผิดที่ประเทศอย่างอินเดียเหมือนกำลังตกนรกอยู่ แต่สิงคโปร์กำลังรอวันที่ทางการจะเปิดให้เดินทางไปฮ่องกงได้โดยไม่ต้องกักตัว

รัฐบาลสิงคโปร์บอกหลายครั้งแล้วว่าต้องกลับไปเปิดประเทศอีกครั้งเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ และก็ได้เริ่มคลายมาตรการสำหรับคนที่จะเดินทางมาจากจีนและออสเตรเลียแล้ว

และเมื่อวันนั้นมาถึง วันที่สิงคโปร์กลับไปเปิดพรมแดนอีกครั้ง นั่นจะเป็นบททดสอบที่แท้จริงว่าเราแข็งแกร่งและฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้ดีที่สุดหรือเปล่า