เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

“อ้อมกอดแรกของพ่อ” แต่อ้อมกอดแรกนั้น มันช่างเย็นยะเยือกสุดหัวใจ เพราะเด็กในอ้อมกอดผม เป็นลูกของผมที่ไม่มีลมหายใจแล้ว

เมื่อวันที่ 20 ม.ค.64 เวลาประมาณ 04.30 น. ภรรยาผม ปวดท้องและมีมูกเลือดออก 05.00 น. ผมนำภรรยาส่ง รพ.ประจำอำเภอแห่งหนึ่ง หมอรับไว้เป็นคนไข้ และให้เฝ้าดูอาการ ระหว่างที่เฝ้าดูอาการ ภรรยาผมรู้สึกปวดท้องเป็นระยะๆ และเริ่มถี่ขึ้น แต่ปากมดลูกไม่เปิด จนเวลาล่วงเลยมาถึง 23.00 น. พยาบาลรายงานว่าปากมดลูกเปิด 1 ซม
หลังจากนั้น เวลาภรรยาปวดท้องผมก็ไปเรียกให้พยาบาลเช็คอาการ จนเวลา 04.00 น. ภรรยาผมเริ่มปวดท้องหนักขึ้นๆ และพยาบาลได้เข้ามาเช็คปรากฎว่าปากมดลูกก็ยังเปิด 1 ซม. จากนั้น 06.00 น.พยาบาลมาเช็คมดลูกเปิด 2 – 3 ซม.
เนื่องจากภรรยาผมขณะนั้นได้มีอาการปวดท้องเป็นเวลากว่า 24 ชม. แล้ว ผมจึงได้ร้องขอให้ รพ.ดังกล่าว ส่งตัวภรรยาผมไปยัง รพ.ประจำจังหวัด เพื่อผ่าคลอด เพราะระยะเวลารอปากมดลูกเปิดตามคำวินิจฉัยของแพทย์ เกินระยะเวลาปกติ ซึ่งทำให้เสี่ยงเกิดอันตรายต่อครรภ์มารดา
ต่อมาเวลา 08.00 น. แพทย์ได้ทำการตรวจ และได้มีการประสาน รพ.จังหวัด เพื่อส่งผ่าคลอด ต่อมาเวลาประมาณ 10.30 น. ขณะนั้นปากมดลูกเปิด 4 ซม. รพ.ได้นำรถฉุกเฉินของ รพ.อำเภอ นำภรรยาผม ไปยัง รพ.ประจำจังหวัด ถึงประมาณ 11.30 น. ซึ่งเมื่อเดินทางออกจาก รพ.อำเภอ ผมก็ใจชุ่มคิดว่าลูกคงคลอดโดยการผ่าแบบปลอดภัย และได้บอกแม่บอกเพื่อนๆ ว่าจะส่งรูปเจ้าตัวน้อยให้ดู

เมื่อรถถึง รพ.ประจำจังหวัด รพ.ดังกล่าว ได้ให้ภรรยาผมพักรอคลอด โดยให้ดูอาการ และรอให้ปากมดลูกเปิด จนระยะเวลาล่วงเลยมาประมาณ 17.00 น. ทาง รพ.ได้แจ้งว่ามดลูกเปิด 5 ซม. ซึ่งขณะนั้น ได้ล่วงเลยระยะเวลาปวดท้องถึง 37 ชม.แล้ว ซึ่งเป็นระยะเวลาที่มากเกินปกติ และเมื่อปากมดลูกไม่เปิด ทางฝ่ายภรรยาผมได้ร้องขอต่อแพทย์ว่า ขอผ่าคลอด เพราะไม่มีแรงพอที่จะคลอดเอง เนื่องจาก รพ.อำเภอ ให้งดน้ำและอาหาร ประกอบกับการปวดท้องนาน ทำให้ภรรยาผมหมดแรง อาจจะไม่มีแรงเบ่ง
ต่อมาเวลาประมาณ 18.00 น.มดลูกเปิดประมาณ 8 ซม. ภรรยาผมได้ร้องว่าปวดท้องหนักไม่ไหวแล้ว แพทย์จึงได้นำภรรยาผม เข้าห้องคลอดเพื่อทำคลอด
ต่อมาระหว่างที่จะทำคลอด ภรรยาผมก็ได้ร้องขอให้ผ่าคลอดอีก เนื่องจากไม่มีแรงเบ่ง แต่แพทย์ของ รพ.ดังกล่าว ก็ได้ให้คลอดเอง และการคลอดเกิดติดขัด
การติดขัดดังว่านั้นจากคำให้การของภรรยาผม ให้การว่าก่อนที่จะคลอดตนรู้ว่าขณะนั้นมดลูกเปิดเพียงแค่ 8 ซม. จึงได้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อบุคลากรทางการแพทย์มาดูอาการ จึงได้นำตัวเข้าไปยังห้องคลอด เพื่อทำคลอด ซึ่งขณะคลอดตนได้เบ่งแต่ไม่มีแรงพอ เนื่องจากอ่อนเพลียจากการปวดท้องนานเกือบ 40 ชม. จึงเบ่งได้เท่าที่ควร และใช้เวลานานพอสมควร จากนั้นทางแพทย์จึงได้ใช้อุปกรณ์ช่วยดึงตัว(เครื่องดูด) ทำการดึงเด็กทารกไปและทำแผลสดให้กับตน และทางแพทย์เมื่อดึงเด็กออกมาแล้วก็พบว่า เด็กไม่หายใจ บุคลากรทางแพทย์จึงทำการปั๊มหัวใจ ภายหลังได้ทราบว่ามีการปั๊มหัวใจถึง 54 นาที และแพทย์ได้รายงานให้กับของเด็กว่า ขณะนี้เด็กดีขึ้นสามารถหายใจได้ด้วยตนเองแต่ต้องใช้เครื่องช่วยหัวใจ และใช้ยากระตุ้น

ผมจึงถามว่ามีทางช่วยเหลือชีวิตเด็กได้หรือไม่ กุมารแพทย์จึงให้แนวทางโดยให้เข้าตู้อบลดอุณหภูมิอะไรสักอย่าง เพื่อฟื้นฟูเซลล์ โดยเฉพาะสมองซึ่งมีเครื่องอยู่ที่ จ.ลำปาง
ต่อมาผมจึงปรึกษาแฟน เราต่างยินดีที่จะเข้ารับการรักษา แม้หมอจะบอกว่าโอกาสที่จะกลับคืนมาคงไม่เหมือนเดิม แต่ด้วยความที่เราเป็นพ่อแม่ จึงอยากให้ลูกกลับมามีชีวิต แม้จะพิกลพิการก็ตามเถอะ หัวอกคนเป็นพ่อแม่ย่อมรู้ดี
ผมจึงตกลงข้อเสนอของกุมารแพทย์ ต่อมาทราบว่า เครื่องลดอุณหภูมิของลำปางเสีย หมอจึงติดต่อ รพ.เชียงรายราชประชานุเคราะน์ และจัดทีมงานหมอ พยาบาล เจ้าพนักงานขับรถ และตัวแทนญาติซึ่งผมติดรถไปด้วย
โดยก่อนขึ้นรถกุมารแพทย์ได้เชิญผมเข้าไปในห้อง NICU หรือห้องไอซียูทารกแรกคลอด เมื่อไปถึงกุมารแพทย์ก็ได้อธิบายความน่าจะเป็นและความเสี่ยงต่างๆให้ผมฟัง ซึ่งกุมารแพทย์ให้ความเห็นว่าน้องหายใจเองไม่ได้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ผมจึงถามว่าที่น้องหายใจได้เพราะยากระตุ้นใช่มั้ย ที่ผมถามเพราะเมื่อผมไปยืนอยู่ตรงหน้าลูก ผมรับรู้ได้ว่าลูกได้จากเราไปแล้ว เหลือแต่ร่างไร้วิญญาณ เพราะเนื้อตัวที่ภรรยาผมเห็นว่าลูกตัวขาวตอนออกจากครรภ์ แท้จริงแล้วลูกซีดครับ ไม่มีเลือดไหลเวียนครับ ซึ่งคนขาวซีดเผือกอย่างนั้นก็อนุมานได้ว่าลูกผมได้จากไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วอย่างแน่นอน
แต่จะอย่างไรได้ล่ะครับ ด้วยความเป็นพ่อ เมื่อหมอ. บอกว่ามีโอกาสเราย่อมมีหวัง หรือแม้แต่หมอจะบอกว่าหมดโอกาสแต่เราเชื่อว่าลูกจะกลับมาย่อมเป็นความหวังสุดท้ายของเรา สุดท้ายผมจึงบอกให้หมอสู้ ขอร้องให้หมอช่วยจนสุดความสามารถ ถึงแม้ภายหลังผลจะเป็นอย่างไร เราก็คุ้มแล้วที่ส่งลูกไปถึง และถึงแม้ว่าหมอและทีมงานจะมีคำตอบในใจแล้วก็ตาม ผมก็สวมบทหัวใจสิงห์เพื่อช่วยเหลือเขาจนสุดทาง ในส่วนนี้ผมขอขอบคุณและชื่นชมทีมหมอ พยาบาล และพนักงานขับรถที่มาส่งน้องถึงที่หมายพี่ๆ ทุกคนทำงานเต็มสปิริต แม้ทุกคนจะรู้คำตอบในใจแล้วก็ตาม

จากนั้น เราได้ขนถ่ายน้องจากอุปกรณ์หลักไปยังอุปกรณ์ที่จะใช้ในรถ Refer และขึ้นรถ เดินทางออกจาก รพ.ประจำจังหวัดในเวลาประมาณ 23.30 น. ไปยังจุดหมายปลายทาง รพ.เชียงรายราชประชานุเคราะห์ ถึง 03.30 น.โดยประมาณ เมื่อถึงแล้ว จิตใจของผมเต็มไปด้วยความหวัง แต่เมื่อหมอทีม รพ.จังหวัด กลับ ผมกลับได้รับคำตอบที่อยู่ในใจอยู่แล้วฟาดลงกลางใจ หมอบอกกับผมว่าน้องไม่หายใจ ต้องทำการปั๊มหัวใจโดยหมอขอให้เวลา 30 นาที ถ้า 30 นาทีผ่านไม่ฟื้น ก็ขอยุติ และหมอก็เดินจากไป
ต่อมาผมกระวนกระวายใจมากจึงเข้าไปในห้อง NICU1 โดยไม่กล้าเข้าไปดู แต่แอบยืนฟังเสียงการปั๊มหัวใจ เสียงหมอและทีมงานบอกเวลาที่ค่อยๆ หายไปแต่ละนาที ผมเพิ่งรู้ตอนนี้นี่เอง ว่าเวลาสำหรับคนต้องการเวลามันน้อยนิดเพียงใด นาทีแล้วนาทีเล่า จนหมอเดินมาบอกผมว่าครบ 30 นาทีแล้วนะคะ คุณพ่อต้องการดูน้องมั้ยคะ ผมเดินไปดูน้อง น้องถูกจัดใส่เสื้อผ้าสีขาวลายเขียวดูน่ารัก ใส่หมวกไหมพรมให้ความอบอุ่น แต่เสื้อผ้าหรือหมวกดังว่าหาทำให้เด็กน้อยหายตัวเย็นไม่ บวกกับพยาบาลบอกคุณพ่อต้องการอุ้มน้องมั้ย ผมกลั้นน้ำตาไม่หยุดเลยครับ เพราะเกิดมาผมยังไม่เคยอุ้มเด็กทารกน้อยๆ เพียงสักคน เพราะผมกลัวไปทำลูกคนอื่นเจ็บ อ้อมแขนของผมได้ฝึกฝนไว้แล้วว่าจะใช้เฉพาะอุ้มลูกของผมเท่านั้น เพราะยังไงก็เป็นลูกเรา เราคงไม่ทำให้เขาเจ็บและอีกอย่างเราจะได้ทำอย่างเต็มที่ แต่อ้อมกอดแรกนั้น มันช่างเย็นยะเยือกสุดหัวใจ เพราะเด็กในอ้อมกอดผม เป็นลูกของผมที่ไม่มีลมหายใจแล้ว ที่จริงผมแค่อยากจะบอกว่า ผมแค่อยากได้ยินเสียงร้องไห้ของเขาสักครั้งก็ยังดี
มันมีข้อเท็จจริงอีกมาก
ถ้า รพ.รับฟังคนไข้ ให้ผ่าคลอดน้องก็คงไม่ตาย
ถ้า รพ.ไม่วิตกเกินไป น้องคงได้รับการผ่าคลอดและรอดชีวิต
ถ้า รพ.ใส่ใจในรายละเอียดการเจ็บป่วยและดำเนินการอย่างรวดเร็ว ไม่รอเวลาให้ล่วงเลยจนถึง 40 ชั่วโมง และรีบผ่าคลอดตามหลักน้องก็คงอยู่รอดปลอดภัย
ที่จริงในยุคนี้ วิวัฒนาการด้านการแพทย์ก้าวหน้าไปอย่างมาก และไม่สมควรที่จะมีเด็กทารกน้อยๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มาตายเพราะความประมาทเลินเล่อของพวกคุณ ผมขอร้องให้เคสลูกชายผมเป็นเคสสุดท้าย ผมขอให้คุณหมอและบุคลากรทางการแพทย์ให้ยึดถือจรรยาบรรณการช่วยเหลือผู้ป่วยให้รอดชีวิตก่อนที่จะมีการทวงถามเอกสารใดๆเลย เพราะชีวิตมันรอเวลาไม่ได้
ท้ายนี้อยากถามทุกคนว่าผมควรทำอย่างไร และผมอยากทราบว่าทีมหมอจะรู้สึกผิดในความผิดพลาดของตนที่นำมาสู่ผลเสียหรือไม่อย่างไร แล้วผมกับภรรยาจะก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไร และถ้าหากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคุณ คุณจะรับได้หรือไม่