เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ยายเจ้าของข้าวเข้าพบตำรวจ สภ.เฉลิมพระเกียรติ บุรีรัมย์ ยอมรับผิดนำข้าวเปลือกไปตากบนถนนทำให้รถบิ๊กไบค์เสี่ยร้านยางล้มพังเสียหายและบาดเจ็บ แต่ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเสียหายหรือซ่อมรถให้ ด้านเสี่ยยังติดใจถูกหาว่าประมาทขี่รถเร็ว เผยหากหลานคู่กรณีที่คอมเมนต์ต่อว่าสำนึกผิดและขอโทษจะให้อภัย

วันนี้ (19 พ.ย.) ความคืบหน้ากรณีที่ นายคณากร อภัยจิตต์ หรือเสี่ยเต้ย อายุ 27 ปี เจ้าของร้านยางรถยนต์แห่งหนึ่งใน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์พุ่งชนกองข้าวเปลือกที่ชาวนาตากไว้บนถนนบริเวณบ้านหนองจอก ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ช่วงประมาณ 20.00 น. วันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา จนรถเสียหลักล้มได้รับความเสียหายและบาดเจ็บ จึงได้นำไปโพสต์เฟซบุ๊กเตือนภัยผู้ขับขี่ให้ระมัดระวัง และฝากถึงชาวนาให้นำกรวยหรืออุปกรณ์สะท้อนแสงมาติดตั้งเป็นสัญลักษณ์เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ซึ่งตอนแรกไม่ได้ติดใจเอาเรื่องเจ้าของข้าวเปลือกที่นำมาตากบนถนนเพราะเห็นใจ แต่พอถูกหลานสาวเจ้าของข้าวโพสต์ต่อว่าเกิดจากตนเองขี่รถเร็ว จึงเปลี่ยนใจเข้าแจ้งความเอาผิดตามกฎหมาย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นางกูล หมื่นรัมย์ อายุ 60 ปี เจ้าของข้าวเปลือก ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.พงศ์สันต์ บุตตะวงศ์ สารวัตร (สอบสวน) สภ.เฉลิมพระเกียรติ เจ้าของคดี พร้อมยอมรับผิดที่นำข้าวเปลือกไปตากบนถนนและไม่ได้นำกรวยสะท้อนแสงไปตั้ง ทำให้รถบิ๊กไบค์มองไม่เห็นพุ่งชนเสียหลักล้มจนรถพังเสียหายและผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเสียหายหรือค่าซ่อมรถ ถ้ามีเงินก็คงจ่ายให้ไปแล้ว ซึ่งตนได้ขอโทษนายคณากร หรือเสี่ยเต้ย ไปตั้งแต่วันเกิดเหตุแล้ว ส่วนที่หลานไปคอมเมนต์ต่อว่า หรือสามีไปให้ข่าวจนทำให้เสี่ยเปลี่ยนใจแจ้งความตนเองก็ไม่ทราบ ตอนนี้เสียใจมากและอยากจะขอโทษ

ขณะที่ นายคณากร หรือเสี่ยเต้ย บอกว่า ยังรู้สึกติดใจที่ถูกคู่กรณีต่อว่าหาว่าเป็นฝ่ายผิดที่ขับขี่รถประมาท ขี่รถด้วยความเร็วเองจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งหากคู่กรณีจะมาขอโทษแต่ไม่ได้สำนึกผิดหรือขอโทษแบบไม่จริงใจ โดยเฉพาะหลานคนที่คอมเมนต์ต่อว่าตนเองยังไม่ติดต่อมาเลย ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย

ขณะที่พนักงานสอบสวนให้โอกาสทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยไกล่เกลี่ยกันอีกครั้งเพราะเห็นใจทั้งสองฝ่าย แต่หากพูดคุยไกล่เกลี่ยกันไม่ได้คงต้องว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย