เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

“เต้” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ โพสต์เฟซบุ๊ก ไม่ขอรับเงินเดือน ส.ส.ตลอด 3 ปี รวมเป็นเงินเกือบ 4 ล้านบาท โดยขอบริจาค เข้า “กองทุนสมทบเพื่อป้องกันโควิด-19” ตั้งแต่ 30 เม.ย.63-31 มี.ค.66

วันที่ 9 เม.ย. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์  ระบุว่า จะไม่รับเงินเดือน ส.ส.ตลอด 3 ปี โดยล่าสุดกำลังเดินทาง ไปยื่นเรื่อง หักเงินเดือน+เงินประจำตำแหน่ง ส.ส. 3 ปี คืนประชาชนที่ผมรัก และเป็นห่วงเป็นใย

โดยที่รัฐสภา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ยื่นหนังสือต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ขอบริจาคเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง ส.ส.เข้ากองทุนสมทบป้องกันโควิด- 19 ของรัฐบาล ตั้งแต่งวดวันที่ 30 เม.ย. 2563 – 31 มี.ค. 2566 หรือจนกว่ายุบสภาหรือหมดวาระสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งรวมแล้วจะเป็นเงินประมาณ 4 ล้านบาท

นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า เนื่องจากวิกฤตนี้ร้ายแรงไปทั่วโลก ไม่มีใครทราบได้ว่าวิกฤตนี้จะสิ้นลงเมื่อใด และล่าสุดรัฐบาลได้ออกพระราชกำหนด(พรก.)กู้เงิน กว่า 1.9 ล้านล้านบาท ถือเป็นการกู้ครั้งสุดท้ายและจะกู้ไม่ได้อีก เนื่องจากเกินลิมิตร้อยละ 60 ของหนี้สาธารณะต่อจีดีพี จึงกู้ไม่ได้อีก และหากแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ภายใน 6 เดือน ทางสุดท้ายเหลือแค่ขายทรัพย์สินภายในประเทศ ซึ่งปัญหาครั้งนี้ใหญ่หลวงนักมากกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 ถึงประมาณ 3 เท่า เหมือนกับเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3

ดังนั้น คนไทยทุกคนต้องช่วยกันฝ่าฟันและยอมเสียสละ ตนในฐานะนักการเมือง ส.ส.ไม่สามารถทนเห็นความเดือดร้อนของประชาชนตาดำๆได้  ไม่สามารถที่จะทนรับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง ที่เป็นภาษีของพี่น้องประชาชนได้อีก ส่วน ส.ส.หรือ ส.ว.ท่านอื่นจะดำเนินการตามหรือไม่ ขอให้เป็นดุลพินิจส่วนบุคคล แต่ขอขอบคุณนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ที่จุดประกายเรื่องนี้ นอกจากนี้ขอเรียกร้องไปยังนายทุนและเจ้าสัวให้ออกมาช่วยกันแก้ปัญหาในครั้งนี้

“การบริจาคเงินขอให้เป็นดุลพินิจส่วนบุคคล แต่สถานการณ์ปัจจุบันตอนนี้ ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เราจะเอาตัวรอดเฉพาะครอบครัวเรา แต่ประชาชนไม่รอด ตัว ส.ส. ส.ว.รัฐบาล เจ้าสัว นายทุน ก็ไม่รอดเหมือนกัน เพราะสุดท้ายหากเราแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ภายใน 6 เดือน เราไม่มีเงินให้เขาแล้ว คนพวกนี้ก็จะไม่มีอันจะกิน เขาก็จะใช้วิธีปล้นสะดมกัน

เพราะฉะนั้นอย่าให้ต้องทุบหม้อข้าว เพราะการกู้เงินครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เราไม่สามารถกู้ได้อีกแล้ว เพราะมันชนเพดานแล้ว มันคล้ายๆกับการเสียกรุงครั้งที่ 2 ต่างแค่เป็นสงครามที่มีศัตรูเป็นไวรัสเท่านั้นเอง ซึ่งมันร้ายกาจกว่าศัตรูที่เป็นมนุษย์หลายเท่า จึงอยากให้สมัครสมานสามัคคี และร่วมกันเสียสละให้ถึงที่สุด สุดท้ายถ้าสถานการณ์ไปต่อไม่ได้ กู้ไม่ได้ พวกเราเองในฐานะที่เป็น ส.ส มีทรัพย์สินเท่าไหร่ก็คงต้องขายทั้งหมด เพื่อนำมาช่วยเหลือให้ประเทศไทยผ่านจุดนี้ไปได้” นายมงคลกิตติ์ กล่าว