กรณีการเสียชีวิตปริศนาของ น.ส.ธิติมา นรพันธ์พิพัฒน์ อายุ 25 ปี หรือ “ลันลาเบล” พริตตี้สาว ที่ถูกพบเป็นร่างไร้วิญญาณบนโซฟาในล็อบบี้คอนโดมิเนียมหรู ย่านตลาดพลู เมื่อคืนวันที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังคดียืดยื้อมากว่า 2 สัปดาห์ ต่อมาตำรวจจับตัว นายรัชเดช วงศ์ทะบุตร หรือ น้ำอุ่น พริตตี้บอย วัย 25 ปี ผู้ต้องหาในคดีการตายของน.ส.ธิติมา ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีใน 3 ข้อหา คือ หน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, พาไปเพื่อกระทำอนาจาร และกระทำอนาจาร ตามที่เสนอข่าวไปนั้
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 3 ต.ค. มีรายงานว่า ภายหลังครอบครัวลันลาเบลเข้ารับฟังผลทางการแพทย์เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมา มีประเด็นการตรวจหาสารเคมีในของเหลวที่อยู่ในอวัยวะผู้ตายเช่น ตับ ม้าม ไต
เบื้องต้น ไม่พบว่ามีสิ่งผิดปกติ แต่ยังเหลือผลการตรวจของเหลวในส่วนอื่นของร่างกาย ซึ่งคาดว่าในวันที่ 4 ต.ค.นี้ จะได้ครบ และทีมแพทย์นิติเวช รพ.จุฬาลงกรณ์ จะส่งเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรมาให้พนักงานสอบสวน สน.บุคคโล เพื่อนำมาพิจารณาประกอบสำนวนทางคดีทันทีหลังได้รับผล
ส่วนเวลาการเสียชีวิตของลันลาเบลที่ครอบครัวอยากทราบเวลาอย่างชัดเจนนั้น ล่าสุดพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ได้สอดคล้องกับผลทางการแพทย์จึงทำให้ทราบเวลาการเสียชีวิตแล้ว แม้จะยังไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ แต่เบื้องต้นพบว่าลันลาเบลเสียชีวิตระหว่างที่อยู่กับ นายรัชเดช หรือน้ำอุ่น วงศ์ทะบุตร แน่นอน
ทั้งนี้ จากการสอบปากคำพยานทุกปากพบว่า ไม่มีบุคคลใดบังคับขืนใจให้ลันลาเบลดื่มสุรา และพบว่าในวันเกิดเหตุที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา ลันลาเบลดื่มหนักและอาเจียนไปหนึ่งรอบ ก่อนจะกลับมาดื่มใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับการสอบปากคำคนคุ้นเคยกับผู้ตาย ที่ระบุว่าลันลาเบลเป็นคนดื่มหนักพอสมควร แต่เจ้าตัวคงจะไม่ทราบว่าการดื่มหนักจะเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้
ขณะที่สังคมตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดตำรวจ สน.บุคคโล จึงไม่รวมสำนวนกับ สภ.บางบัวทอง พื้นที่การจัดงานปาร์ตี้ เนื่องจากพนักงานสอบสวน สน.บุคคโล ต้องทำสำนวนแยกมาอีกคดี เพราะเป็นพื้นที่ที่พบศพลันลาเบล อีกทั้งการเสียชีวิตของลันลาเบลยังไม่เชื่อมโยงกับบ้านที่จัดปาร์ตี้ ซึ่งมีเพียงน้ำอุ่นที่อยู่ด้วยเป็นรายสุดท้าย แม้บางบัวทองจะเป็นจุดเริ่มต้นก็ตาม
จากนี้สภ.บางบัวทอง ยังต้องรวบรวมพยานหลักฐานการจัดงานปาร์ตี้ ว่ามีเรื่องอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ หากพบว่ามีจุดเชื่อมโยงระหว่าง 2 พื้นที่ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) อาจพิจารณารวมสำนวนคดีมาเป็นคดีเดียวกันได้