ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นางอำพร อบเชยรัมย์ 44 ปี ชาวบ้าน ต.เมืองฝาง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ว่าเมื่อปี พ.ศ. 2558 ลูกสาวตน น้องบี(นามสมมุติ) ไม่สบายนอนอยู่ห้องพยาบาลที่โรงเรียน
ถูกเจ้าอาวาส วัดแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ขับรถไปรับตั้งแต่เวลา 09.00 น. ลูกจึงนั่งรถมาด้วยเพราะเด็กๆในหมู่บ้านจะคุ้นเคยกับพระและวัดในหมู่บ้าน เพราะมีกิจกรรมเรียนและนั่งสมาธิที่วัดเป็นประจำ
ลูกสาว เล่าต่อว่า จากนั้นเจ้าอาวาสให้มานั่งสมาธิในกุฎิของเจ้าอาวาส ในเวลาต่อมาได้เอาขวดน้ำมาให้ดื่ม เวลาผ่านไปไม่นานลูกสาวไม่รู้สึกตัว ตื่นมาอีกทีพบว่าไม่มีเสื้อผ้า โดยเจ้าอาวาสยังมาขู่ด้วยว่า ห้ามนำเรื่องไปบอกใครเพราะได้ถ่ายคลิปไว้ มิฉะนั้นจะเอามาแฉ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่น้องบี เรียนอยู่ชั้น ม.2 อายุ 13 ปี ตนเป็นม่ายเลี้ยงลูกคนเดียว ต้องไปหางานทำที่กรุงเทพฯโดยให้ลูกอยู่กับตายาย กระทั่งเดือนสิงหาคม 2562 แม่ของตนคือยายน้องบี(นามสมมุติ) โทรศัพท์แจ้งไปบอกว่าลูกสาวมีอาการผิดปกติ ท้องใหญ่ เหมือนคนท้อง จึงรีบกลับมา พอถามจึงบอกว่าท้องกับพระเจ้าอาวาสวัด และเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า แต่ละครั้งจะถูกเจ้าอาวาสเรียกให้ไปหา และขู่ ห้ามบอกใคร ลูกสาวรู้สึกอึดอัดมากแต่ไม่มีที่ปรึกษา ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาจนกระทั่งท้องจึงได้เล่าและระบายให้แม่ฟัง
หลังจากทราบเรื่องจากลูกสาว ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.สองห้อง อ.เมือง ตำรวจได้เรียกตัวเจ้าอาวาสไปสอบสวน โดยพระครูให้การรับสารภาพว่าทำจริง และจะขอชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 150,000 บาท ตนไม่มีทางเลือก และไม่สามารถเอาคดีพรากผู้เยาว์กับเจ้าอาวาสได้ เพราะลูกสาวขณะนี้อายุเกินกว่า 18 ปีแล้ว จึงรับเงินค่าเสียหายที่เจ้าอาวาสเสนอให้ต่อหน้าตำรวจ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคาใจคือ หลังจบเรื่องเจ้าอาวาสได้ขนข้าวของย้ายออกจากวัด ไปจำวัดที่วัดอื่นที่อำเภอนางรอง ซึ่งตนถือว่าไม่ถูกต้อง จริงแล้วควรจะสึกออกจากการเป็นพระเพราะถือว่าเป็นมารศาสนา
“ที่ผ่านมาพระครูสง่า เคยกระทำชำเราเด็กในหมู่บ้านหลายคน แต่ชาวบ้านไม่กล้าปริปาก เพราะพระครูสง่า เป็นพระนักพัฒนา ชาวบ้านเคารพนับถือ จึงอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับให้พระครูสง่าสึกออกจากการเป็นพระเพราะเชื่อว่าจะไปก่อเหตุกับเยาวชนในที่อื่นอีก ส่วนลูกสาวขณะนี้ไปอยู่กับพี่สาวใน เมืองบุรีรัมย์”นางอำพรเล่า และว่าจากการสอบถามลูกสาวพบว่า เจ้าอาวาสมีพฤติกรรมที่ถือว่าโหดเหี้ยมเกินกว่าชาวพุทธจะรับได้.