เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในที่ประชุม ครม.วันที่ 20 ส.ค. จะขอหารือปากเปล่ากับทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับข้อเสนอให้ขยายเวลาปิดสถานบริการต่างๆ ในยามค่ำคืน ไปปิดที่เวลา 04.00 น. ได้หรือไม่ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวยามค่ำคืน ตั้งเป้าดึงเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะจากผลการศึกษาของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เบื้องต้น คาดว่าหากมีการขยายเวลาปิดสถานบริการยามค่ำคืนออกไปถึง 04.00 น. จะช่วยเพิ่มค่าใช้จ่ายกินดื่มเที่ยวเฉลี่ยได้อีกไม่น้อยกว่า 25% จากค่าใช้จ่ายเดิม

ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปศึกษาว่าควรอนุญาตให้สถานบริการย่านใดเปิดทำการล่วงเวลาถึง 04.00 น.ได้บ้าง ไม่ใช่ทุกย่านและทุกจังหวัดจะเปิดได้หมด เช่น กรุงเทพฯ อาจจะอนุญาตให้เฉพาะย่านสีลม หรืออื่นๆ, ภูเก็ต อาจจะอนุญาตโซนหาดป่าตอง หรืออื่นๆ, กระบี่ อาจจะอนุญาตโซนอ่าวนาง หรืออื่นๆ รวมไปถึงย่านอื่นๆ ในเมืองพัทยาและเกาะสมุย เป็นต้น เพื่อสะดวกต่อการดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่

นอกจากนี้ ยืนยันเดินหน้าเสนอมาตรการยกเว้นวีซ่า (ฟรีวีซ่า) แก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ (20 ส.ค.) แม้ว่าล่าสุดทางพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ได้ออกมาคัดค้าน เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อประเด็นความมั่นคง ส่วนตัวมองว่าเรื่องประเด็นความมั่นคง ไม่มีอะไรที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ แม้ว่าจะมีมาตรการฟรีวีซ่าหรือไม่ให้ฟรีวีซ่าก็ตาม ก็ยังมีการจับกุมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แฝงตัวมาทำสิ่งไม่ดีหรือก่อคดีในประเทศไทย

ทั้งนี้ มาตรการยกเว้นวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดียได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ไปเมื่อวันศุกร์ที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ผมก็ต้องเดินหน้าเสนอเรื่องนี้ตามวาระที่ประชุม ครม.วันนี้ เพื่อให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจากฝ่ายต่างๆ ได้ถกหารือกัน ก่อนนำไปสู่ข้อสรุป”

สำหรับมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวที่จะมีการนำเสนอต่อที่ประชุม ครม. จะมี 2 มาตรการหลัก คือ ด้านวีซ่า ได้แก่ มาตรการยกเว้นวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2562 – 31 ต.ค.2563 ควบคู่กับการต่ออายุมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival (VoA) แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 19 ประเทศ (ไม่รวมจีนกับอินเดีย) ที่จะเสนอให้ต่อเวลาไปอีก 1 ปี

ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2562 – 31 ต.ค.2563 เช่นกัน จากเดิมจะสิ้นสุดวันที่ 31 ต.ค.นี้ โดยตัวมาตรการด้านวีซ่านี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะเป็นผู้เสนอต่อที่ประชุม ครม. คาดว่าจะสร้างรายได้ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกกว่า 3 แสนล้านบาท แม้ว่ารัฐจะสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่ากว่าหมื่นล้านบาท

ส่วนอีกมาตรการหลัก ด้านกระตุ้นการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวภายในประเทศ คือมาตรการแจกเงินเที่ยว 1,000 บาท ทางกระทรวงการคลังจะเป็นผู้เสนอ โดยมีมาตรการเสริมอีก 3 มาตรการมาช่วยกระตุ้นการจับจ่ายเพิ่มในช่วงเดือน ก.ย.-พ.ย.นี้ มีกระทรวงการท่องเที่ยวฯเป็นผู้เสนอ

ได้แก่ 1.โครงการ 100 บาท กิน-ชอป-เที่ยวทั่วไทย 2.โครงการลดราคาสินค้าแบบ on top 15% วงเงินไม่เกิน 30,000 บาท สำหรับใช้จ่ายด้านค่าที่พัก อาหาร และการเดินทาง และ 3.โครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงวันธรรมดา ยังอยู่ระหว่างสรุปรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่ช่วงปิดภาคเรียนกำลังจะมาถึงในเดือน ต.ค.นี้