เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

จากกรณีที่นักเรียนได้แสดงความคิดทางด้านการเมืองโดยใช้พานไหว้ครูเป็นสื่อนำความคิดของพวกเขาทำให้ปรากฎภาพพานนาฬิกายืมเพื่อนพานหีบบัตรเลือกตั้งพานพรรคอนาคตใหม่พานรถถัง รวมไปถึงพานไหว้ครูที่เปรียบเทียบคะแนนเสียงสว.250 เสียงกับคะแนเสียงของประชาชน ซึ่งถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก

ต่อมาได้ก็มีกระแสข่าวเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจเดินทางเข้าไปที่โรงเรียนโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย .โพนพิสัย.หนองคายเข้าพบนักเรียนที่ทำพานไหว้ครูที่มีลักษณะล้อการเมืองพร้อมขอความร่วมมือให้ลบภาพพานออกจากโซเชียลทั้งหมดจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างอีกทั้งยังมีนักวิชาการออกมาพูดถึงกรณีนี้โดยทางกองทัพได้ออกมายืนยันแล้วว่าไม่ใช่เป็นคำสั่งจากทางการแต่อย่างใดด้านตำรวจในท้องที่ก็ได้เปิดเผยว่าตนแค่ส่งลูกน้องไปทำหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยเท่านั้น

ล่าสุดชื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก JJ Jub Matheson ได้โพสต์ภาพพานไหว้ครูพร้อมคำบรรยายภาพเปิดการเข้าถึงเป็นแบบสาธารณะเล่าเรื่องราวที่หลานของตนเองทำพานไหว้ครูแต่ดันถูกครูเรียกไปทำในสิ่งที่เรียกว่าการปรับทัศนคติ

ซื่งผู้โพสต์ระบุข้อความว่าสงสารหลานสงสารเด็กอยู่แค่.3 อายุ14 ปีทำพานไหว้ครูด้วยมติทั้งห้องจนได้มาซึ่งไอเดียนี้แต่โดนครูเรียกไปปรับทัศนคติซะงั้นสิทธิเสรีภาพของเด็กยังถูกริดรอนได้ขนาดนี้เชียวหรือขนาดเด็กรุ่นใหม่ยังตื่นตัวทางการเมืองสะท้อนให้สังคมได้เห็นอะไรบ้าง?

   การเมืองมันไม่ใช่เรื่องเฉพาะของคนที่มีอายุหรือผู้ใหญ่คนเก่งคนจบสูงนักวิชาการนักการเมืองหรือคนเจนจัดทางการเมืองเท่านั้นที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองได้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้เท่าเทียมกันระบบการศึกษาไทยยังเป็นอะไรเดิมๆห้ามเก่งกว่าครูห้ามเถียงห้ามวิจารณ์ห้ามเกินไปกว่าตำราที่สอนไม่เหมือนประเทศที่พัฒนาแล้วที่ปล่อยให้เด็กๆได้แสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวางเต็มที่เวลาครูถามอะไรนักเรียนแย่งชิงยกมือตอบแบบแทบจะได้ตบกันตายในห้อง(นี่คือคำเปรียบเทียบให้เห็นว่าเด็กๆตื่นตัวในสิทธิของตัวเองขนาดไหน)

   แต่หันกลับมามองที่การศึกษาไทยนักเรียนไทยส่วนมากจะอายที่จะกล้ายกมือตอบเพราะกลัวผิดกลัวไม่ถูกใจกลัวพูดไปแล้วขายหน้ากลัวโดนหักคะแนนกลัวโดนเพื่อนล้ออะไรๆก็กลัวไปหมดเด็กๆอยู่ในภาวะแบบนี้จนเคยชินแล้วเพราะถูกปิดกั้นมาตลอด

   ส่วนตัวดิฉันอายุก็เริ่มมากแล้วไม่ทราบว่าบรรยากาศในห้องเรียนปัจจุบันได้ต่างจากเดิมที่พบเจอหรือไม่นะคะหวังเป็นอย่างยิ่งว่าครูอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายจะมองเห็นปัญหาและคิดพัฒนาปรับปรุงหัดเปิดใจรับในการแสดงออกทางความคิดของเด็กอย่าตัดสินการแสดงความคิดเห็นของเด็กในเชิงลบเสมอไปมันไม่ใช่ความก้าวร้าวเสมอไปแต่อาจจะเป็นความอัดอั้นตันใจที่เด็กๆมีอยู่ก็ได้นะคะ