เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ศาลฎีกานักการเมืองสั่งจำคุกอีก 2 ปี อดีตนายก “แม้ว” ออกสลากหวยบนดินไม่ชอบ ตามม.157 ฝ่าฝืน ก.ม. รู้ว่าเสี่ยง แต่ไม่เลิก ขาดทุนเละเทะ แถมให้แบงก์ออมสินสำรองเงินไว้ 2 หมื่นล้าน คล้ายหวยใต้ดิน ทำคนมัวเมา ศาลสั่งออกกมายจับมารับโทษ

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง เมื่อเวลา 12.00 น. “นายสบโชค สุขารมณ์” อดีตประธานศาลฎีกา และองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน อ่านคำพิพากษาคดีออกโครงการสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว หรือหวยบนดินในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร คดีหมายเลขดํา อม.1/2551 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง “นายทักษิณ ชินวัตร” อายุ 70 ปี อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เป็นจำเลย

ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเป็นเหตุให้ผู้หนึ่งผู้ใดเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 152, 153, 154 ,157 ประกอบมาตรา 83, 84, 86, 90, 91 , ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 4, 8, 9, 10 ,11 กรณีถูกกล่าวหา ร่วมกลุ่มรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ 2 ปี 2549 และอดีตผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 47 คนดำเนินโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว (หวยบนดิน) ตั้งแต่งวดวันที่ 1 ส.ค.46 –  16 ก.ย.49 โดยมิชอบ

โดยเมื่อปี 2561 ป.ป.ช.โจทก์ ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลนำคดีนี้ซึ่งยื่นฟ้องตั้งแต่ปี 2551 แต่ศาลสั่งจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวเนื่องจากจำเลยหลบหนีโดยออกหมายจับแล้วยังไม่ได้ตัวมา จึงให้นำขึ้นมาพิจารณาใหม่ หลังจากปี 2560 มีการแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ซึ่งเมื่อเริ่มพิจารณาคดีใหม่ “นายทักษิณ” อดีตนายกฯ ไม่มาศาลและไม่ตั้งทนายความเข้ามาไต่สวนพยานสู้คดี โดยศาลได้ไต่สวนพยานฝ่าย ป.ป.ช.โจทก์แล้ว

ศาลพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า วัตถุประสงค์การออกสลากกินแบ่ง เพื่อหาเงินรายได้เข้ารัฐ โดยก่อนการจำหน่ายสลากหวยบนดินมีการศึกษาข้อกฎหมายและผลกระทบทางสังคมแล้ว ได้ทักท้วงจำเลยที่ 1 ให้ทราบว่าการออกสลากหวยบนดินอาจเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยับยั้งความเสี่ยง ยังปรากฎข้อเท็จจริงว่าได้สั่งการให้จำเลยที่ 10

และ ผอ.กองสลาก (ขณะนั้น) จำเลยที่ 42 เร่งดำเนินการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว โดยไม่ต้องรอเครื่องพิมพ์สลาก แสดงว่าจำเลยที่ 1 ต้องการออกสลากหวยบนดินโดยไม่คำนึงถึงวัตถุประสงค์ของกองสลาก และไม่แก้ไขข้อกฎหมายก่อน เข้าลักษณะเป็นเจ้ามือรับกินใช้ ซึ่งมีเงื่อนไขเดียวกับหวยใต้ดิน เป็นการพนันขันต่อให้มัวเมาประชาชน ทั้งการนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีก็เข้าสู่วาระจรเป็นเหตุให้ครม.อนุมัติโดยเข้าใจว่าเป็นการกระทำโดยชอบตามกฎหมาย

แม้การออกสลากหวยบนดินจะมีรายได้ 123,339,890,730 บาท แต่มีผลขาดทุน 7 งวด จำนวน 1,668,192,060 บาท นอกจากนี้ยังปรากฎข้อเท็จจริงว่ากองสลากยังได้เบิกงานเกินบัญชีจากธนาคารออมสินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินสำรอง

แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ย่อมรู้อยู่แล้วว่ามีความเสี่ยง แต่ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงเหมือนขั้นตอนการออกสลากอย่างที่เคยเป็นมา การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบในการดำเนินโครงการออกสลายพิเศษฯ ที่ร่วมกับจำเลยที่ 10 และ 42 ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้ว แต่ไม่ปรากฎว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดอื่นตามมาตรา 153, 147, 152

“องค์คณะฯ” มีมติเสียงข้างมาก พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี และให้ออกหมายจับจำเลยมาปฏิบัติตามคำพิพากษา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยคดีนับเป็นคดีสำนวนที่ 2 ที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาตัดสินคดีของนายทักษิณ อดีตนายกฯ ในปี 2562 และมีโทษให้จำคุก ซึ่งเป็นการพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวจำเลย ตามกฎหมายใหม่

ขณะที่คดีหวยบนดินนั้น ป.ป.ช.ได้ยื่นฟ้องจำเลยรวมทั้งสิ้น 47 ราย โดยก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาฯ เคยมีคำพิพากษาในส่วนของกลุ่มคณะรัฐมนตรีไปเมื่อวันที่ 30 ก.ย.52 โดยตัดสินว่าให้จำคุก “นายวราเทพ รัตนากร” รมช.คลัง จำเลยที่ 10 เป็นเวลา 2 ปีปรับ 20,000 บาท

“นายสมใจนึก เองตระกูล” ปลัด ก.คลังและประธานบอร์ดกองสลากฯ จำเลยที่ 31 จำคุก 2  ปี ปรับ 10,000 บาท ตามป.อาญา ม.157 และ 83  และ”นายชัยวัฒน์ พสกภักดี” ผอ.กองสลาก จำเลยที่ 42 กระทำผิ ป.อาญา 157 และ 86 , พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯ ม.11 เป็นความผิดกรรมเดียวต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดฯ อันเป็นบทหนักสุดตาม ป.อาญา ม.90 ลงโทษจำคุก  2 ปี ปรับ  10,000 บาท

แต่จำเลยทั้งสามไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ประกอบกับพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นสมควรให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามไว้คนละ 2 ปี ส่วนจำเลยอื่นใน ครม.นั้น ศาลฎีกาฯ พิพากษายกฟ้องซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว