เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

จากกรณีนายพิเชษฐ และนางสุกัลยา ตัญกาญจน์ ร้องต่อสื่อมวลชนว่า นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย ลูกชายซึ่งเป็นนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเพียง 1 วัน และไม่ได้รับคำชี้แจงที่ละเอียดจากผู้เกี่ยวข้อง ได้รับเพียงใบมรณบัตรชี้แจงสาเหตุการตายจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน จากนั้นได้นำพร้อมนำศพนายภคพงศ์ไปชันสูตรหาสาเหตการเสียชีวิตพบว่า อวัยวะภายใน และสมองหายไปนั้น

เมื่อเวลา 16.30 น. กรมกิจการพลเรือน กองบัญชาการกองทัพไทย เปิดแถลงข่าวกรณีดังกล่าว โดย พล.ต.กนกพงษ์ จันทร์นวล ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร กล่าวว่า รู้สึกเสียใจตั้งแต่ได้ทราบข่าวการเสียชีวิต ซึ่งนักเรียนก็เหมือนลูกของตนคนหนึ่ง โดยวันที่ 17 ต.ค. หลังจากล้มลงในเวลา 16.00 น. โดยหลังเกิดเหตุมีการส่งตัวไปที่โรงพยาบาล น้องล้มลง หัวใจเต้นอ่อน มีการช่วยชีวิตด้วยการปั๊มหัวใจ โดยกรณีนี้มีการหารือว่า เป็นการตายอย่างผิดธรรมชาติ จึงต้องมีการชันสูตร และได้คุยกับพ่อแม่โดยตลอด

หลังจากนำร่างไปบำเพ็ญทางศาสนา ทางโรงเรียนเตรียมทหารได้เข้าไปดูแลการจัดงานอภิธรรมศพโดยตลอด หลังจากนั้นขั้นตอนคือ มีการสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิต ทำตามกระบวนการ ตั้งกรรมการสอบสวนว่ามีใครเกี่ยวข้องในเหตุการณ์วันที่ 17 ต.ค.บ้าง แต่ทางครอบครัวน่าจะยังไม่มีเวลาในการรับฟังข้อมูล โดยการสอบสวนมีการรายงานผลสอบสวนตามขั้นตอนมาตลอด จนเพิ่งทราบว่า ศพน้องยังไม่ได้ฌาปนกิจ ซึ่งได้สอบถามคุณพ่อแล้วว่า ทางครอบครัวต้องการอะไรหรือไม่ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เสียใจทั้งโรงเรียน

 

 

 

“ในวันก่อนเกิดเหตุวันที่ 17 ต.ค. น้องเป็นลม และมีการพามาส่งห้องพยาบาล  ส่วนวันจันทร์ ก็มีการทำกิจกรรมตามปกติ มีการวิ่งก่อนรับประทานอาหาร พบว่าน้องมีการหายใจเร็วกว่าปกติ จึงถูกส่งไปที่กองแพทย์ โดยมีกล้องวงจรปิด ว่าอยู่ที่กองแพทย์ในช่วงเช้า เที่ยงมีการโทรศัพท์คุย และอยู่กับเพื่อนทั่วไป ตอนบ่ายมีการเดินคุยโทรศัพท์ช่วง 15.00 น. เมื่อเวลา 16.00 น. ก็เกิดอาการขึ้น โดยพบว่าน้องโทรศัพท์คุยกับครอบครัว และระหว่างที่ครอบครัวโทรกลับมาหา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำโทรศัพท์ไปให้ที่ห้องพักในบริเวณกองแพทย์ น้องก็ทรุดตัวลง มีการเข้าช่วยเหลือ และนำส่งโรงพยาบาลทันที”

พ.ท.นรุฏฐ์ ทองสอน ทีมแพทย์ผู้ชันสูตรศพ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวถึงประเด็นเรื่องการชันสูตรศพ ว่า ได้รับร่างมาคืนวันที่ 18 ต.ค. และลงมือชันสูตรตอนเช้า ไม่พบบาดแผลตามร่างกายภายนอก จึงผ่าเปิดภายใน พบว่ากระดูกซี่โครง ซี่ที่ 4 ข้างขวาหัก มีรอยช้ำชายโครงข้างขวาและซ้าย พบความผิดปกติเพียงเท่านี้ โดยกระดูกและรอยช้ำดังกล่าว ไม่สามารถเป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้

 

ทั้งนี้ รอยที่บริเวณชายโครง เกิดจากของแข็งไม่มีคมมากระแทก ซึ่งยังไม่สามารถตัดประเด็นเรื่องการเกิดรอยระหว่างซีพีอาร์ช่วยชีวิต หรือ ประเด็นของแข็งอื่นกระแทกได้ จึงต้องมีการผ่าเพื่อส่องทางกล้องจุลทรรศน์ โดยวิธีการจะต้องมีการเก็บอวัยวะไว้ครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ จะอยู่ที่สมอง และหัวใจ โดยสมองจะนิ่มมาก จึงต้องฟิกฟอร์มาลีน จึงได้เก็บสมอง และหัวใจ ทั้งหมดไว้เพื่อทำสไลด์ ส่วนผลทางพิษวิทยา มี 3 ทาง จะต้องเก็บผลทางเลือด กระเพราะ กระเพาะปัสสวะ ได้ผ่าเพื่อตรวจสารพิษ แต่ตอนตรวจพบว่า มีการหดเล็กมาก ไม่มีฉี่ในกระเพาะปัสสวะ ได้เก็บคืนไป อาจจะสังเกตไม่เห็น ส่วนกระเพาะไม่พบเศษอาหาร

“สรุปในส่วนของอวัยวะที่ได้เก็บไว้ทั้งหมด คือ สมอง หัวใจ กระเพาะอาหาร และสุ่มตัวอย่างอวัยวะไว้ทำสไลด์ เพื่อตรวจทางห้องปฏิบัติงาน จึงได้ออกรายงานให้เจ้าพนักงาน เมื่อตรวจ รายงานมีแนวโน้มไปทางหัวใจ จึงลงรายงานว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทั้งนี้ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เกิดได้หลายสาเหตุ แต่มีการเก็บตัวอย่างพบว่า กายภาพของหัวใจปกติ จึงต้องตรวจระดับลึก จากการส่องกล้องจุลทัศน์ พบเซลล์บางตัว ที่ไม่ควรพบในเด็กๆ อายุ 19 ปี แต่อาจพบได้เมื่อหัวใจมีพยาธิสภาพผิดปกติ ส่วนเรื่องของการเต้นของหัวใจ สารไฟฟ้านำหัวใจทำให้หัวใจเต้นพริ้ว หัวใจเต้นผิดปกติ การผ่าชันสูตร ไม่สามารถตอบคำถามในส่วนดังกล่าวได้ ต้องใช้วิธีการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าระหว่างการมีชีวิต อย่างไรก็ตาม เด็กที่แข็งแรง เมื่อล้มลงจำเป็นต้องหาสาเหตุให้ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร” พ.ท.นรุฏฐ์ กล่าว พร้อมกล่าวต่อว่า  โดยการฟิกฟอร์มาลีน ต้องใช้เวลา 10-14 วัน  ได้ประสานครอบครัวว่า เก็บไว้และพร้อมคืนแต่ต้องใช้ระยะเวลา โดยให้ประสานผ่านทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เลย แต่เพิ่งได้รับการประสานเมื่อเที่ยงที่ผ่านมา

 

 

Cr. ข่าวสด